ครม.ขึ้นภาษีเหล้า-บุหรี่มีผลทันที เชื่อทำให้คนดื่มสุราน้อยลง
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ กรมสรรพสามิต ปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตสุรา และ ยาสูบ โดย สุราขาวเก็บตามปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 120 บาทต่อลิตร ให้ปรับเป็น 150 บาทต่อลิตร และสุราผสม จาก300 บาทต่อ ลิตร เป็น 350 บาทต่อลิตร สุราบรั่นดีเก็บ 400 บาทต่อลิตร เต็มเพดานตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งถ้าคิดเป็นอัตราการเก็บภาษีตามมูลค่า หรือ ตามปริมาณของสินค้าหรือบริการ จะเก็บที่ ร้อยละ 50 ในทุกชนิดสุรา ซึ่งการปรับขึ้นภาษีครั้งนี้เป็นไปตามแผนรณรงค์ลด ละ เลิกสุราและบุหรี่ที่มีการดำเนินการมาในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งเหตุผลที่ไม่ส่งสัญญาณการปรับขึ้นภาษีมาก่อนเพราะต้องการลดปัญหาการกักตุนสินค้า ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างกับประชาชน ปัจจุบันมีผู้บริโภคสุรา 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศหรือไม่น้อยกว่า 20 ล้านคน
ส่วนการขึ้นภาษีบุหรี่ ปัจจุบันเก็บตามราคาหน้าโรงงาน ร้อยละ 85 จะเปลี่ยนเป็นเก็บตามปริมาณบุหรี่ในซอง คือ 1 มวน 1 บาท ทำให้บุหรี่ทุกซองต้องเสียภาษีสรรพสามิตอย่างน้อยซองละ 20 บาท การเก็บภาษีบุหรี่มวนละ 1 บาท จะทำให้บุหรี่ที่เคยจำหน่ายในราคาต่ำและเสียภาษีน้อย ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นซองละ 6-8 บาท
ด้านนางเบญจา หลุยส์เจริญ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า การขึ้นภาษีสุรา ยาสูบครั้งนี้ จะทำให้กรมสรรพสามิต มีรายได้เพิ่มขึ้นปีละ10,000 ล้านบาท โดยมติคณะรัฐมนตรี จะมีผลทันทีตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา
ส่วนนพ.ทักษพล ธรรมรังสี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา เห็นด้วย กับมาตรการขึ้นภาษีสรรพสามิตของรัฐบาล เพราะจะทำให้นักดื่มปัจจุบันและผู้ไม่เคยดื่มมีความรู้สึกอยากดื่มลดลง โดยจากการคำนวณแล้ว สุราขาวจะแพงขึ้นขวดละ 7.50 บาท ส่วนสุราผสมจะปรับขึ้นขวดละ 12.25 บาท
สำหรับอัตราเรียกเก็บจากสุราขาว ภาษีลิตรละ 250 บาท และมีราคาต่ำเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ และต่ำกว่ามาตรฐานโลกร้อยละ 30-40 ดังนั้นจึงแนะนำว่า รัฐบาลควรปรับเพดานภาษีสรรพสามิตสุราใหม่ทั้งหมด เพื่อให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น และลดภาระค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุและสุราเรื้อรัง
ด้านนายสมชัย จิตสุชน นักวิชาการ ทีดีอาร์ไอ ระบุว่า การขึ้นภาษีโดยที่ไม่ประกาศก่อนถือเป็นแนวทางที่ถูกต้อง เพราะรัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้น แม้จะเล็กน้อย หากเทียบกับการเลือกขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT แต่รัฐบาลเป็นที่จะต้องปรับขึ้นเพื่อชดเชยรายจ่ายที่รัฐบาลนำไปใช้ในโครงการประชานิยม