รัฐบาลสหรัฐเตือนสถานทูตทั่วโลกเฝ้าระวัง หลัง “บิน ลาดิน” ถูกสังหาร
นายบารัค โอบาม่า ประธานาธิบดีสหรัฐ แถลงยืนยันว่านายอุซามะ บิน ลาดิน ผู้ก่อการร้ายที่สหรัฐต้องการตัวหมายเลขหนึ่ง ถูกสังหารเมื่อวานนี้ ระหว่างปฏิบัติการทางทหารของกองทัพอเมริกัน ที่เมืองอับบอตตาบัด ห่างจากกรุงอิสลามาบัดของปากีสถานไปทางเหนือราว 60 กิโลเมตร และศพของบิน ลาดิน อยู่ในความครอบครองของกองทัพอเมริกัน
ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของปากีสถานและอัฟกานิสถาน ยืนยันข้อมูลตรงกัน ถึงการเสียชีวิตของบิน ลาดินโดยแหล่งข่าวหน่วยข่าวกรองสหรัฐ ระบุว่าปฏิบัติการเกิดขึ้นที่แมนชั่นของบิน ลาดิน ที่เมืองอับบอตตาบัด
มีรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐ ได้รับเบาะแสแหล่งกบดานของบิน ลาดิน เมื่อเดือนสิงหาคม และมีการแกะรอยมาโดยตลอด ช่วงเดือนมีนาคม ประธานาธิบดีโอบามา เข้าร่วมการประชุมกับหน่วยงานความมั่นคงในเรื่องเกี่ยวข้องกับบิน ลาดิน ไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง ก่อนมีคำสั่งปฏิบัติการเมื่อสัปดาห์ก่อน และสามารถสังหารบิน ลาดินได้เมื่อวานนี้ โดยมีการส่งหน่วยพิเศษจู่โจมเข้าไปชิงศพของบิน ลาดิน มาไว้ในความครอบครองได้
แม้ระยะหลัง บิน ลาดินจะไม่ได้เป็นผู้สั่งการในแผนการก่อการร้ายโดยตรง แต่การเสียชีวิตของเขา นับเป็นชัยชนะด้านสัญลักษณ์ครั้งสำคัญของสหรัฐ ที่ประกาศทำสงครามกับการก่อการร้าย หลังการโจมตีอาคารเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 และนับเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของหน่วยงานความมั่นคงภายใต้การนำของประธานาธิบดีบารัค โอบามา
อย่างไรก็ตาม ผู้นำสหรัฐเตือนว่า แม้จะสามารถสังหารอุซามะ บิน ลาดินได้แล้ว แต่สหรัฐยังไม่พ้นภัยคุกคาม และจะยังคงตกเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มก่อการร้าย อัลกออิดะห์ ซึ่งหลังจากมีการยืนยันข่าวการเสียชีวิตของบิน ลาดิน รัฐบาลสหรัฐ ประกาศเตือนสถานทูตอเมริกันทั่วโลก ให้เฝ้าระวังสถานการณ์ทันที รวมทั้งออกประกาศเตือนชาวอเมริกัน ที่เดินทางไปต่างประเทศ ให้ระวังตัว
ข่าวการเสียชีวิตของบิน ลาดิน สร้างความยินดีแก่ชาวอเมริกัน โดยชาวอเมริกันในกรุงวอชิงตัน ดีซีกลุ่มใหญ่ ไปรวมตัวโห่ร้องแสดงความยินดีที่หน้าทำเนียบขาว ในช่วงที่ประธานาธิบดีสหรัฐ แถลงข่าวยืนยันการเสียชีวิต
ด้านนายจอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ ผู้เริ่มปฏิบัติการสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ออกแถลงการณ์แสดงความยินดีกับผู้นำสหรัฐ ทหารและหน่วยข่าวกรอง ที่ทุ่มเทเพื่อภารกิจไล่ล่าผู้นำกลุ่มอัล กออิดะห์ และระบุว่า ความสำเร็จครั้งนี้ ถือเป็นชัยชนะของชาวอเมริกันทุกคน