ก.ยุติธรรม ชี้สังคมไทยกำลัง
วงเสวนาระบุปัญหาหนี้นอกระบบเปรียบเป็นอาการป่วยของสังคมไทยที่รุมเร้าปากท้องชาวบ้าน ยกระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นปัญหาระดับประเทศที่ทุกฝ่ายต้องเร่งแก้ไข
การเสวนาเรื่อง "ปัญหาวิกฤติหนี้นอกระบบ :ทางออกของสังคมไทย?" จากศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมกระทรวงยุติธรรม (ศนธ.ยธ.) จัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้โดยมีหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องภาคการเมือง สถาบันการเงิน และภาคเอกชนเข้าร่วมเสวนา ต่างเห็นพ้องว่าการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบผลควรผลักดันเป็นวาระแห่งชาติและปรับปรุงการทำงานของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้มีเป้าหมายเดียวกัน
โดยนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า เรื่องหนี้นอกระบบเป็นปัญหาเรื้อรังที่ยากจะแก้ไขเนื่องจากไม่ใช่แค่เรื่องความจนเพียงอย่างเดียว แต่เกี่ยวโยงไปถึงการสร้างความเป็นธรรมในการกระจายรายได้ด้วยพร้อมกับเปรียบปัญหาหนี้นอกระบบเป็นอาการป่วยของสังคมไทยที่มีตัวแปรหลากหลาย ซึ่งต้องอาศัยการทำงานเชิงบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่างๆทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังและเร่งด่วนที่สุด
ข้อแรกควรลดความเหลื่อมล้ำสร้างความเป็นธรรมด้วยการกระจายรายได้ ให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันที่สามารถต่อสู้กับวัตถุนิยมได้ข้อที่สองต้องร่วมกันไกล่เกลี่ยข้อพิพาทหรือส่งเสริมการอบรมความรู้ให้ประชาชนเข้าถึงกฎหมายได้ทั่วถึงรวดเร็วการบังคับใช้กฎหมายที่เด็ดขาด จะช่วยป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้คนจนจะได้ไม่รู้สึกว่าความยุติธรรมเข้าถึงยากเพราะขณะนี้ปัญหาหนี้นอกระบบได้ยกระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นปัญหาระดับประเทศ ที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน
พล.ต.ท.อาจิณโชติวงศ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยอมรับว่า ที่ผ่านมาปัญหาหนี้นอกระบบเป็นเรื่องที่เอาผิดได้ยากเนื่องจากสมยอมทั้งสองฝ่ายแม้เจ้าหนี้จะเก็บดอกเบี้ยในอัตราเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดก็ตาม ส่วนที่เป็นคดีความขึ้นมาเพราะมีการข่มขู่กรรโชกและบังคับเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพลูกหนี้ซึ่งทางออกที่ดีที่สุดคือทำอย่างไรให้ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบได้ง่ายขึ้น
"สาเหตุและปัญหาการเป็นหนี้มาจากการที่เขาจำเป็นต้องใช้เงินพอกู้ยืมไปแล้วไม่มีเงินใช้เจ้าหนี้ขึ้นมา ฝ่ายที่ถูกกู้ยืมก็ต้องทำทุกวิถีทางที่จะได้เงินคืนมาก่อให้เกิดแก๊งหมวกกันน็อกที่มีการประทุษร้ายร่างกายเพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับรายต่อๆไปส่งผลให้เกิดความรุนแรงตามมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้หากประชาชนพบเหตุการณ์เหล่านี้ควรแจ้งเบาะแสแก่เจ้าหน้าที่ทันที และอยากเสนอแนะให้ศูนย์รับร้องทุกข์ฯที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจัดตั้งขึ้นประสานข้อมูลกับหน่วยงานราชการหน่วยอื่น เพื่อขยายผลในการดำเนินการกวาดล้างแก้ทวงหนี้โหดต่อไป"
ด้านนายสิริรัฐ ชุมอุปการ ผู้อำนวยสำนักบริหารการปกครองท้องที่ กระทรวงมหาดไทยกล่าวว่า ที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทยเน้นแก้ปัญหาที่ต้นน้ำ ซึ่งเชื่อว่าถ้าแก้ได้ ปัญหาหนี้นอกระบบจะลดลงนั่นคือ 1.ต้องศึกษาเหตุผลการเป็นหนี้ 2.การจัดระดับความสำคัญของหนี้ 3.การพัฒนาศักยภาพลูกหนี้ว่ามีศักยภาพในการใช้หนี้หรือไม่4.เพิ่มช่องทางแหล่งทุนหลักคือเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย 5.การเพิ่มช่องทางแหล่งทุนแก่ประชาชนเช่น กองทุนหมู่บ้าน กองทุนเงินส่งเสริมอาชีพ และสุดท้าย 6.มีหลักประกันเกษตรกรรวมทั้งการส่งเสริมสินค้าโอทอปโดยปัจจุบันกระทรวงมหาดไทยมีการรับเจรจาแก้ปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบมาโดยตลอด
ขณะที่นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันทำให้ประชาชนรู้จักกลโกงของหนี้นอกระบบส่วนประชาชนเองต้องรู้จักประมาณตนด้วย เพราะการเป็นหนี้รายย่อยต้นทุนการบริหารสูง ดอกเบี้ยจะสูงมากกว่าปกติทั้งนี้ตนอยากเสนอให้ในส่วนของธนาคารควรมีการปรับอัตราดอกเบี้ยต่ำลง เพื่อให้ประชาชนอีกส่วนหนึ่งสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบได้
"ถ้าเราสามารถกันคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ออกจากวงจรหนี้นอกระบบได้ ผมคิดว่าปัญหาหนี้นอกระบบจะลดลง จะเหลือกลุ่มที่เป็นหนี้จริงๆสำหรับคนที่สมควรช่วยเหลือ อยากเสนอให้ช่วยเหลือด้วยการพัฒนาให้เป็นสวัสดิการสังคมขณะที่กฎหมายต้องมีบทลงโทษแก่เจ้าหนี้นอกระบบที่ไม่มีศีลธรรมด้วย "
ด้าน รศ.ณรงค์ เพชรประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวเห็นด้วยกับความคิดเห็นของดร.ธวัชชัย กรณีการเปลี่ยนสังคมไทยจากประชานิยมเป็นสังคมสวัสดิการ พร้อมเสริมแนวคิดว่ากระทรวงยุติธรรมควรทำงานเชิงรุก โดยเฉพาะการรับผิดชอบอบรมให้ความรู้แก่ประชาชนเกี่ยวกับการกู้ยืมเนื่องจากหลายคนยังไม่มีความรู้เรื่องกฎหมาย
รศ.ณรงค์ กล่าวว่า การทำสัญญาเงินกู้-เงินผ่อนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจะนำไปสู่หนี้นอกระบบเป็นไปได้ไหมที่กระทรวงยุติธรรมจะจัดตั้งหน่วยงานขึ้นเพื่อทำหน้าที่เป็นโค้ช(ที่ปรึกษา)คอยแนะนำชาวบ้านว่าเงินกู้ที่ได้มาแล้วควรมีการบริหารจัดการอย่างไร พร้อมกับจัดเจ้าหน้าที่คอยดูแลตามกฎหมาย เพราะขนาดนักลงทุนที่เชี่ยวชาญยังต้องจ้างที่ปรึกษาว่าจะลงทุนอย่างไรเช่นเดียวกับชาวบ้านควรมีหน่วยงานที่เข้ามาดูแลให้คำแนะนำในเรื่องนี้ด้วย