ศาลปกครองสูงสุดให้กลุ่มผู้คัดค้านโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย ชนะคดี ตร.ใช้กำลังสลายการชุมนุม
ชาวบ้านกลุ่มผู้คัดค้านโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย อ.จะนะ จ.สงขลา ร้องไชโยด้วยความดีใจ ทันทีที่ศาลปกครองสูงสุด อ่านคำพิพากษาคดีประวัติศาสตร์ถึงการละเมิดเสรีภาพ อันเกี่ยวเนื่องจากการใช้สิทธิของการชุมนุม กรณีเจ้าหน้าที่รัฐใช้กำลังสลายการชุมนุม ให้ชาวบ้านเป็นฝ่ายชนะคดี
เจ๊ะหมัด สังข์แก้ว ชาวบ้านกลุ่มผู้คัดค้านโครงการท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย ระบุว่า หลังตัวแทนชาวบ้านผู้ได้รับบาดเจ็บ รวม 24 คน เป็นโจทย์ยืนฟ้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จ.สงขลา และกระทรวงมหาดไทย พร้อมมีคำพิพากษา ชดใช้ค่าเสียหาย เป็นเงินจำนวน 100,000 บาท รวมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 เป็นระยะเวลา 10 ปี นับตั้งแต่เกิดเหตุ
24 ธันวาคม 2545 ขณะชาวบ้านกลุ่มผู้คัดค้านท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย กว่า 3,000 คน ชุมนุมปักหลักบริเวณสะพานจุติ-บุญสูง ห่างจากโรงแรมเจบี อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา สถานที่จัดงานประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร ประมาณ 400 เมตร เพื่อเตรียมยืนหนังสือคัดค้านโครงการ ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชันวัตร นายกรัฐมนตรี
เนื่องจากเห็นว่า จะส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงวิถีชีวิตของชุมชน แต่ขณะกำลังพักผ่อนและบางส่วนแยกย้ายไปละหมาด ได้ถูกตำรวจใช้กำลังบุกจับแกนนำบนรถเครื่องขยายเสียง และสลายการชุมนุม เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บนับ 100 คน รถยนต์ถูกทุบได้ความเสียหายกว่า 10 คน
ส.รัตนมณี พลกล้า คณะทำงานสภาทนาย มองว่า คำตัดสินของศาลปกครองสูงสุดครั้งนี้ จะถูกนำไปเป็นบรรทัดฐานของเจ้าหน้าที่ในการตัดสินใจใช้กำลังกับชาวบ้าน ที่ชุมนุมกันอย่างสงบ และเป็นไปตามรัฐธรรมนูญในอนาคต
นอกจากฟ้องศาลปกครองสูงสุด เพื่อให้องค์กรแสดงความรับผิดชอบ กลุ่มผู้คัดค้านท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย ยังได้ยืนฟ้องคดีอาญา กับ พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับพวกรวม 38 คน ในข้อหา กระทำการให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ร่วมกันทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบพยาน
ส่วนกรณีฝ่ายตำรวจ ฟ้องดำเนินคดีอาญา กับ ในข้อหามั่วสุมก่อความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต่อสู้ขัดขวางและทำร้ายเจ้าหน้าที่ศาลจังหวัดมีคำสั่งยกฟ้องไปแล้ว