สรุป
เริ่มจากสถิติในการแข่งขัน จาโคบี้ โจนส์ ผู้เล่นในตำแหน่งไวลด์ รีซีฟเวอร์ของบัลติมอร์ เรฟเว่นส์ สร้างสถิติใหม่ให้กับเอ็นเอฟแอล และซุปเปอร์โบว์ลส ด้วยการวิ่งย้อนเป็นระยะทางมากที่สุด 108 หลา เข้าไปทำทัชดาวน์ได้สำเร็จในควอเตอร์ที่สอง รวมทั้งเขายังทำสถิติเป็นผู้เล่นที่วิ่งได้ระยะมากที่สุดในซุปเปอร์โบว์ลสด้วยระยะรวม 290 หลาอีกด้วย
สถิติต่อมาเป็นของโจ แฟลคโก ควอเตอร์แบ๊คบัลติมอร์ เรฟเว่นส์ เจ้าของรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าซุปเปอร์โบว์ลสคนล่าสุด สร้างสถิติเป็นควอเตอร์แบ๊คคนที่สองในประวัติศาสตร์ที่ทำสถิติขว้าง 11 ทัชดาวน์ และไม่เสียอินเตอร์เซ็ปต์เลยในช่วงเพลย์ออฟ
ส่วนโคลิน เคเปอร์นิค ควอเตอร์แบ๊คของซานฟรานซิสโก โฟร์ตี้ไนเนอร์ส ที่สร้างสถิติเป็นควอเตอร์แบ๊คที่วิ่งระยะมากที่สุดในการเข้าทำทัชดาวน์ โดยเขาวิ่งระยะ 15 หลาทำทัชดาวน์ได้ในควอเตอร์สุดท้าย ลบสถิติเดิมของโจ มอนทาน่า อดีตยอดควอเตอร์แบ๊คของโฟร์ตี้ไนเนอร์สที่ทำไว้ในซุปเปอร์โบว์ลส ครั้งที่ 19 ด้วยระยะ 6 หลา สถิติถัดมา เป็นการวิ่งย้อนที่ทั้งสองทีมวิ่งย้อนด้วยระยะทางรวมกันมากที่สุดเป็นสถิติของซุปเปอร์โบว์ลส ด้วยระยะทางรวม 312 หลา
ขณะเดียวกันด้วยเหตุไฟฟ้าขัดข้องในช่วงต้นควอเตอร์ที่สาม ทำให้การแข่งขันซุปเปอร์โบว์ลสในครั้งนี้เป็นการแข่งขันที่ใช้เวลามากที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยเวลารวม 4 ชั่วโมง 14 นาที
และสถิติที่สำคัญอีกอย่างในการแข่งขันที่ลืมไม่ได้ก็คือ เป็นครั้งแรกของซุปเปอร์โบว์ลส ที่คู่พี่น้องที่รับหน้าที่หัวหน้าโค้ชของทั้งสองทีมต้องมาพบกันเอง โดยจอห์น ฮาร์บอจ์ ผู้พี่เป็นหัวหน้าโค้ชให้กับบัลติมอร์ เรฟเว่นส์ และจิม ฮาร์บอจ์ ผู้น้องป็นหัวหน้าโค้ชของทีมโฟร์ตี้ไนเนอร์ส
คราวนี้เรามาดูสถิตินอกสนามกันบ้าง เริ่มจากค่าโฆษณาในระหว่างการแข่งขัน ซึ่งในปีนี้สร้างสถิติใหม่อีกครั้งด้วยราคาสูงถึง 4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 120 ล้านบาทต่อระยะเวลาโฆษณาที่ออกอากาศเพียง 30 วินาทีเท่านั้น
ขณะเดียวกันการถ่ายทอดสดการแข่งขันผ่านเครือข่ายโทรทัศน์ซีบีเอสยัง สร้างสถิติให้กับวงการโทรทัศน์ของสหรัฐอเมริกาด้วยการเป็นรายการโทรทัศน์ที่ มีสถิติผู้ชมมากที่สุดเป็นอันดับที่สามในประวัติศาสตร์ด้วยจำนวนผู้ชมถึง 108.4 ล้านคน หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา