อย.นำทีมจับป้ายโฆษณายักษ์กลางกรุง ท้าทายกฎหมายโฆษณา โทษหนักคุก 1 ปี
ด้าน“เครือข่ายป้องกันภัยน้ำเมา” ประณาม แฉบริษัทเหล้าสร้างภาพรับผิดชอบสังคม แต่เบื้องหลังละเมิดกฎหมายอื้อ ดึงเด็กเยาวชนเป็นเหยื่อ
เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่บริเวณปากซอยรัชดา46 เวลา 13.30 น. นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ทีมนักกฎหมาย ลงพื้นที่ตรวจจับป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ของบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยมีกลุ่มเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ เครือข่ายเฝ้าระวังแอลกอฮอล์กรุงเทพ เครือข่ายเยาวชนป้องกันนักดื่มหน้าใหม่กว่า 40 คน ยื่นหลักฐานการทำผิดกฎหมายของบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายนี้ รวมถึงร่วมกันชูป้ายประจาน และแสดงละครล้อเลียนบริษัทดังกล่าว
นพ.สมาน กล่าวว่า ป้ายดังกล่าวมีลักษณะความผิดตามพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 คือ เป็นการโฆษณาและส่งเสริมการขาย มีการชิงโชคชิงรางวัล เผยแพร่สู่สาธารณะ เชื่อมโยงผ่านเว็บไซต์www.100idols.com ในเว็บดังกล่าวพบบรรจุภัณฑ์ต่างๆชัดเจน มีการขายที่ระบุโปรโมชั่น สามารถแลกหรือเอาไปชิงโชคชิงรางวัล จึงเข้าข่ายการโฆษณาผ่านสื่อประเภทอิเล็กโทนิค มีความผิด 2 กรณี ได้แก่ มาตรา32โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากยังมีการฝ่าฝืนอยู่ จะมีโทษปรับรายวัน วันละไม่เกิน 5 หมื่นบาท ส่วนการส่งเสริมการขาย ผิดมาตรา 30 โทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นพ.สมาน กล่าวว่า กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นคดีที่กระทำความผิดสำเร็จ และหลังจากนี้จะรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เพื่อส่งให้ตำรวจในพื้นที่ สน.พหลโยธิน ตรวจสอบ เช่น ป้ายนี้ใครติดตั้ง ใครจ้างให้ติดตั้ง หรือใครสนับสนุนให้ติดตั้ง ซึ่งจะเข้าข่ายตัวการร่วมกันกระทำความผิด 3 ลักษณะ คือ 1.ตัวการร่วม 2. ผู้ใช้ 3.ผู้สนับสนุน ซึ่งตามกฎหมายตัวการร่วมและผู้ใช้มีความผิดเท่ากัน แต่ผู้สนับสนุนจะมีความผิด2ใน3 ของโทษที่จะได้รับ สำหรับการดำเนินคดีทางเว็บไซต์คงทำได้ไม่ยาก เพราะเป็นเว็บไซต์ในประเทศ อย่างไรก็ตาม หลังประกาศใช้พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มา 5 ปี ยังพบการกระทำผิดกฎหมายมากที่สุด คือการโฆษณาผ่านทางป้าย รองลงมาคือการส่งเสริมการขาย
ด้านนายชูวิทย์ จันทรส เลขานุการเครือข่ายรณรงค์ป้องกันภัยแอลกอฮอล์ กล่าวว่า เครือข่ายฯได้นำคลิปวีดีโอ ที่เก็บข้อมูลภาพจากเว็บไซต์ดังกล่าวซึ่งเชื่อมโยงจากป้ายโฆษณา ภายในเว็บดังกล่าวมีกิจกรรมให้ลูกค้าถ่ายรูปตัวเองและเพื่อนโดยมีข้อแม้ว่าต้องถ่ายภาพโชว์ขวดเหล้า 100 Pipers กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นที่หวังรางวัลเป็นไอโฟน 5 สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นเล่ห์การตลาดที่เน้นเจาะกลุ่มวัยรุ่นอายุ 18 ปีขึ้นไปให้ช่วยโฆษณา เครือข่ายฯจึงขอประณามการกระทำในลักษณะนี้ และขอให้เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายขั้นเด็ดขาดกับบริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์รายนี้อย่างถึงที่สุด
“เป็นเวลา 5 ปี ที่พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มีผลบังคับใช้ อีกทั้งกฎหมายได้ให้โอกาสปรับตัว เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี แต่สิ่งที่พบเป็นเพียงการปรับตัวอย่างฉ้อฉล ยิ่งกว่าศรีธนชัย นอกจากนี้ยังมีกรณีอื่นๆที่บริษัทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์พยายามหลีกเลี่ยงกฎหมาย เช่น เปิดลานเบียร์ขายฝั่งตรงข้ามสถานที่ราชการ จงใจจดทะเบียนตราสินค้าประเภทเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ให้คล้ายคลึงกับผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์ ให้การสนับสนุนสปอนเซอร์คอนเสิร์ต ดนตรี กีฬา ทำกิจกรรมซีเอสอาร์ สร้างภาพรับผิดชอบสังคม ส่งเสริมการขายจูงใจในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์คสร้างเครือข่ายลูกค้า พร้อมจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายชนิดเข้าถึงตัว อีกทั้งป้ายโฆษณา ตู้ไฟหน้าผับ บาร์ ร้านอาหารก็ถูกปรับรูปแบบทำให้กฎหมายเข้าไปเอาผิดได้ยาก” นายชูวิทย์ กล่าว
นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า การเลี่ยงกฎหมายของบริษัทน้ำเมาทำให้ฝ่ายบังคับใช้กฎหมายไล่ตามไม่ทันส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่เข้มงวด ในขณะที่รัฐบาลเองกำลังเดินตามเกมทุนน้ำเมาข้ามชาติ ที่กดดันให้มีการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี โดยเฉพาะกับสหภาพยุโรป (อียู)ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่ไทยนำเข้าสิ้นค้าน้ำเมาเกือบ 80% โดยไม่กล้าถอนบัญชีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ออกจากการเจรจาทำ ให้อีกไม่กี่ปี ไทยต้องรับมือกับสงครามเหล้านอกราคาถูก อีกทั้งการฟ้องร้องให้ยกเลิกกฎหมายบางมาตราที่ถูกอ้างว่ากีดกันการค้ารวมถึง ความยากในการออกมาตรการใหม่ๆเพื่อควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
“ตอนนี้บริษัทน้ำเมาย่ามใจ แต่สิ่งหนึ่งที่กำลังปรากฏชัดขึ้น คือคำพิพากษาที่สำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ฟ้องร้องบริษัทน้ำเมารวมถึงผู้จำหน่าย เอเย่นต์ หลายรายในความผิดตามกฎหมาย ซึ่งจะทยอยออกมาพิสูจน์ความจริง เพื่อช่วยสร้างบรรทัดฐานที่ถูกต้องให้กับสังคมไทยและจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ว่าการปฏิบัติตามกฎหมายเป็นหัวใจสำคัญข้อหนึ่งของธุรกิจและความรับผิดชอบต่อ สังคมไม่ใช่แค่การสร้างภาพรับผิดชอบสังคมแต่ในทางปฏิบัติกลับทำผิดกฎหมาย” นายชูวิทย์ กล่าว