กลุ่มศัลยแพทย์ จับมือผลักดันไทยสู่
แพทย์ไทยประกาศความพร้อม หลังประชุมวิชาการเชิงปฎิบัติการให้กับแพทย์ด้านศัลยกรรมตกแต่งความงาม ตั้งเป้าโชว์ฝีมือศัลยแพทย์ไทยเหนือชั้น คาดการณ์ตลาดศัลยกรรมยังขยายตัวต่อเนื่อง
นายแพทย์สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวว่า ธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงามกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 เชื่อว่าจะช่วยทำให้ตลาดธุรกิจบริการทางการแพทย์และความงามขยายตัวมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้คนไข้ชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการทางการแพทย์ในไทยจำนวนมาก เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ในอาเซียนอย่างสิงค์โปร์ โดยไทยมีคนไข้ชาวต่างชาติต่อปี ประมาณ 1.4 ล้านคน ส่วนสิงค์โปร์ มีประมาณ 600,000 คน การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจะเอื้อให้ประเทศไทยมีตลาดที่ใหญ่ขึ้นในอาเซียน ด้วยการเดินทางที่สะดวกขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าจากประเทศอินโดนีเซีย ปัจจุบันมักใช้บริการอยู่ในมาเลเซียและสิงค์โปร์
ทั้งนี้ จากข้อมูลของสมาคมเสริมความงามนานาชาติ ระบุว่าปริมาณการทำศัลยกรรมทั้งประเภทที่ต้องผ่าตัดและไม่ผ่าตัดนั้นในกลุ่มภูมิภาคเอเชียพบว่า จีนมีสัดส่วนการทำศัลยกรรมสูงสุด ตามด้วยญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน โดยไทยเป็นชาติเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ติดผลการจัดอันดับครั้งนี้
คาดการณ์ว่าในปี 2556 จะขยายตัวต่อเนื่องโดยได้รับปัจจัยหนุนจากการทำศัลยกรรมในเอเชียที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว ภายหลังความต้องการทำศัลยกรรมตาสองชั้นและเสริมจมูกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตลาดอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าจับตาคือ ตลาดอาเซียนกลุ่มประเทศ CLMV หรือ กัมพูชา , ลาว พม่า , เวียดนาม ที่หลั่งไหลเข้ามาใช้บริการทางการแพทย์และความงามในไทย
ด้วยจุดแข็งของบริการทางการแพทย์ในประเทศไทยที่มีชื่อเสียงด้านการทำศัลยกรรมตกแต่ง ประกอบกับศักยภาพด้านท่องเที่ยวและบริการที่ยอดเยี่ยมของประเทศไทย ทำให้ผู้ที่เดินทางมารักษาตัวที่ไทยสามารถเดินทางท่องเที่ยวในราคาที่สมเหตุสมผล สร้างรายได้จำนวนมหาศาลให้กับประเทศไทย ประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ภาครัฐต้องตระหนักถึงความสำคัญและวางนโยบายเร่งด่วนเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจศัลยกรรมความงามที่มีช่องทางเติบโตสูง ด้วยการสนับสนุนธุรกิจสุขภาพและ ความงามในรูปแบบของทัวร์ศัลยกรรมทั้งระบบและร่วมผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลาง Surgical hub of Asia”
นายแพทย์สัมพันธ์ กล่าวอีกว่า วันที่ 2 มีนาคมนี้ แพทยสภา ร่วมกับ สมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย และราชวิทยาลัย โสต ศอ นาสิกแพทย์ประเทศไทยจัดการประชุมวิชาการเชิงปฎิบัติการ Masterclass Project : Rhinoplasty ขึ้นโดยเน้นเรื่องการให้ความรู้เกี่ยวกับศัลยกรรมเสริมจมูก โดยงานจะจัดขึ้นที่ โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร และในวันที่ 3 มีนาคม 2556 เป็นการจัดเวิร์คช้อปในรูปแบบ live Surgery ครั้งแรกและยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย โดยจัดขึ้นที่ โรงพยาบาลไทยจักษุ ทั้งนี้เพื่อพัฒนาวงการแพทย์ไทยและประกาศ ความพร้อมในการก้าวสู่ Surgical hub of Asia
นายแพทย์ชลธิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกระแสความงามด้วยการศัลยกรรมตกแต่งว่า ทิศทางความงามแบบเกาหลียังคงอยู่ในกระแสของคนไทย ยิ่งปัจจุบันคลินิกความงามหลายแห่งชูจุดเด่นเฉพาะทางด้วยการผันตัวเองเป็นตัวแทนโรงพยาบาลเกาหลีเพื่อส่งลูกค้าไปทำศัลยกรรม จากกระแสวัฒนธรรมเกาหลีที่แทรกซึมเข้ามาผ่านทางสื่อบันเทิง การท่องเที่ยว สินค้าและแฟชั่น จนกลายเป็นกระแสเกาหลีฟีเวอร์ไปทั่วภูมิภาค กระแสนี้จะคงอยู่ในแวดวงศัลยกรรมตกแต่งนานแค่ไหน ขึ้นกับการสนับสนุนของภาครัฐเช่นกัน ด้วยไทยมีศักยภาพความพร้อมด้านบุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสบการณ์ เครื่องมือที่ทันสมัย และค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับคุณภาพมาตรฐานในการรักษาที่ผู้ป่วยจะได้รับ
นพ.ชลธิศ กล่าวด้วยว่า แต่จะทำอย่างไรให้ผู้บริโภครู้ว่าประเทศไทยมีศักยภาพความพร้อมในการก้าวสู่ผู้นำด้านศัลยกรรมตกแต่งในภูมิภาคเอเชีย จึงเกิดการรวมตัวกันของกลุ่มแพทย์คนไทยที่มีความเชี่ยวชาญ ชำนาญการด้านศัลยกรรมความงามระดับ Master กว่า 30 ท่าน ร่วมกันจัดงานประชุมวิชาการเชิงปฎิบัติการขึ้น ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเซียที่สามารถระดมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมได้มากที่สุด โดยทุกท่านเป็นแพทย์ไทยที่มีประสบการณ์ไม่น้อยกว่า 20 – 30 ปี ทั้งนี้เพื่อร่วมกันประกาศศักยภาพความพร้อมของไทยในการก้าวสู่การเป็น ศูนย์กลางศัลยกรรมที่ดีที่สุดในโลก
สำหรับการจัดประชุมวิชาการเชิงปฎิบัติการครั้งนี้ จะเป็นการถ่ายทอดองค์ความรู้จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกว่า 30 ท่านให้กับแพทย์ด้านศัลยกรรมตกแต่งรุ่นใหม่กว่า 200 คน ซึ่งเป็นอนาคตของวงการศัลยกรรมตกแต่งของประเทศไทย พร้อมฝึกปฎิบัติจริงจากห้องผ่าตัด ทั้งนี้โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาศักยภาพแพทย์ไทยรุ่นใหม่ ให้มีทักษะฝีมือด้านการทำศัลยกรรมที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ พร้อมผลักดันให้ภาครัฐตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวสู่การเป็น Surgical hub ของภูมิภาคเพื่อนำรายได้เข้าประเทศ