ผู้เสียหายคนนี้เป็นอีก 1 คนที่ ถูกแก๊งตกทองหลอกขายพระเครื่องปลอมให้ โดยอ้างว่าจะสามารถนำไปขายได้ในราคาหลายแสนบาท แม้เธอจะอ้างว่าไม่เต็มใจ แต่ก็เสียสร้อยคอทองคำหนัก 2 สลึง และเงินสดอีก 500 บาทให้กับแก๊งนี้ไป เช่นเดียวกับหญิงสาวรายนี้ ที่ต้องสูญทรัพย์สินไปกว่า 30,000 บาท หนึ่งในผู้ต้องหาในแก๊งนี้อ้างว่า พวกเขาไม่ได้หลอกลวงผู้เสียหาย แต่เป็นเพราะความโลภของผู้เสียหายเอง จึงทำให้ต้องสูญเสียทรัพย์สินไป
พฤติการณ์ของแก๊งนี้จะคัดเลือกผู้เสียหายที่ใส่ทองเท่านั้น โดยน.ส.นิภาพร บุญกุศล จะทำทีเข้าไปสอบถามเส้นทาง แล้วจากนั้นก็นำพระเครื่องเลี่ยมกรอบทองมาเสนอขายให้พร้อมอ้างว่า เป็นพระดังราคาเกือบหนึ่งล้านบาท ซึ่งจะมีน.ส.วิลาวรรณ์ กิ่งกล่อม จะเดินเข้ามาสมทบเพื่อช่วยพูดให้หลงเชื่อ
เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อ และทำทีว่าจะขายทอง ก็จะเรียกรถแท๊กซี่ คือ นายพานุ ภาคทรัพย์ ซึ่งอยู่ในแก๊งนี้มารับ ซึ่งเป็นแก๊งเดียวกัน และระหว่างที่อยุ่บนรถ ทั้งหมดจะพูดโน้มน้าวไปเรื่อย ก่อนจะโทรศัพท์มาหานายนิวัตร มะตัน หัวหน้าแก๊ง ซึ่งทำทีเป็นเจ้าของร้านทองที่ยอมรับซื้อในราคาสูง
พร้อมกันนี้ยังยืนยันว่า เมื่อนำพระไปขายให้ร้านทองต้องนำเงินมาแบ่งกัน แต่ทุกคนต้องนำทรัพย์สินของแต่ละคนมารวมไว้ที่นางสาวนิภาพร และเมื่อผู้เสียหายยอมให้ทรัพย์สิน และนั่งรถจักรยานยนต์ไปยังร้านทองที่บอก ทั้งหมดก็จะหลบหนีไปทันที ซึ่งตำรวจสามารถจับผู้ร่วมขบวนการได้ทั้งหมด รวมถึงนายสรายุทธ มะตัน และนายศุภโชค พลาหาญ
จากข้อมูลพบว่า แก๊งนี้ได้ตระเวนหลอกลวงในลักษณะนี้มานานกว่า 5 ปี และทำในหลายพื้นที่ มีหมายจับของสถานีตำรวจนครบาลบางเขน และมีผู้ที่แจ้งความไว้ทั้ง มีนบุรี ร่มเกล้า ลาดกระบัง จึงขอให้ผู้เสียหายที่เคยถูกกระทำในลักษณะเช่นนี้เข้าให้ข้อมูลกับตำรวจนครบาลร่มเกล้าเพิ่มเติม เพื่อดำเนินคดี