<"">
"กิตติรัตน์" ยัน พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ เป็นประโยชน์แก่ประชาชน พร้อมระบุว่า การใช้หนี้จะค่อยเป็นค่อยไป และคาดว่าจะดำเนินการใช้หนี้ทั้งหมดในระยะเวลาไม่เกิน 50 ปี และหนี้ไม่สาราธณะไม่แตะร้อยละ 50 ของจีดีพี
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีร่างพระราชบัญญัติให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมวงเงิน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งมีการเสนอกรอบ พ.ร.บ.ฉบับนี้ต่อรัฐสภา ซึ่งการพิจารณา พ.ร.บ.ฉบับนี้ ทางคณะรัฐมนตรีได้เชิญส่วนงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นปลัดกระทรวงการคลัง อธิบดีกรมหนี้สาธารณะ และส่วนของกระทรวงคมนาคมเข้าชี้แจงด้วย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวอีกว่า ประโยชน์จากโครงการดังกล่าว คือ จะสามารถลดต้นทุนการขนส่งภายในประเทศ รวมถึงการประหยัดพลังงานที่มีแนวโน้มว่าจะมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่การชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวคาดว่าจะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยในช่วง 10 ปีแรกขณะที่ดำเนินการก่อสร้างโครงการจะสามารถชำระส่วนที่เป็นดอกเบี้ยได้ ขณะที่เงินต้นจะสามารถชำระได้ในปีที่ 11 เป็นต้นไปในอัตราประมาณปีละ 20,000 ล้านบาท ในช่วง 10 ปีแรก และค่อยๆเพิ่มขึ้นในปีถัดไป เมื่อหนี้เงินกู้มีแนวโน้มลดลง อัตราดอกเบี้ยก็จะลดลงไปด้วย ก็จะค่อยๆ เพิ่มเงินต้นเข้าไป ซึ่งคาดว่าจะสามารถชำระหนี้ส่วนนี้ได้ทั้งหมดไม่เกิน 50 ปี และยืนยันว่าว่าระดับหนี้สาธารณะภายในประเทศจะต่ำกว่าร้อยละ 50 ของจีดีพี
ทั้งนี้ นายกิตติรัตน์ ระบุยังถึงมาตรฐานในการร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ว่า มีมาตรฐานสูงสุดที่เคยมีมา ซึ่งพ.ร.บ.ฉบับนี้ได้มีการคำนวณราคากลางงานก่อนสร้างตามมาตรฐานที่กระทรวงการคลังได้กำหนด และผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแล้ว เพราะฉะนั้นความกังวลในเรื่องของการทุจริตจึงไม่ใช่ประเด็น เนื่องจากเชื่อว่า กระทรวงการคลังมีความพร้อมในการรักษาวินัยบริหารการเงิน
อย่างไรก็ตาม นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ไทยมีความพร้อมในสภาพคล่องส่วนของเงินตราต่างประเทศอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งสภาพคล่องที่มีอยู่มีจำนวนที่สูงกว่าเงินที่จะลงทุน 2 ล้านล้านบาท และการเบิกใช้เงินกู้จะมีการดำเนินการไปตามความคืบหน้าของการก่อสร้างโครงการ ซึ่งในแต่ละปีจะมีลักษณะการใช้เงินแบบค่อยเป็นค่อยไปเชื่อว่าไม่เป็นปัญหาในสภาพคล่องทางการเงินภายในประเทศ