มองมุมภาพยนตร์กับสังคมสูงวัย
ทำงานดูแลทุกข์สุขของคนในบ้านมาทั้งชีวิต แต่เมื่อแก่ลงจนไม่สามารถดูแลตัวเองได้ อาเต๋า แม่บ้านประจำสกุลเหลียงก็เลือกจะส่งตัวเองไปอยู่บ้านพักคนชรา เพื่อไม่ให้เป็นภาระของนายน้อยซึ่งเธอผูกพันเสมือนญาติ ภาพยนตร์ผลงานผู้กำกับหญิง แอน ฮุย สะท้อนปัญหาสังคมผู้สูงอายุในฮ่องกง หนึ่งในพื้นที่ซึ่งมีอัตราเกิดต่ำที่สุดในเอเชีย และกำลังประสบปัญหาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุที่ต้องฝากไว้ในมือผู้ดูแลที่เป็นแรงงานต่างด้าว สร้างภาระรายจ่ายให้กับภาครัฐไม่น้อย ปัญหาการเตรียมตัวก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย คือสิ่งที่หลายประเทศต้องเตรียมตัวรับมือ เช่นเดียวกับในประเทศไทยที่มีผลสำรวจปี 2556 พบว่ามีประชากรสูงอายุมากที่สุดในอาเซียน คือร้อยละ 12 จากประชากรทั้งหมด แต่ที่ผ่านมาสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุยังไม่มีหลักประกันที่น่าพอใจ
อาจไม่ใช่สถานที่พักผ่อนในฝัน แต่ก็เลือกอินเดียด้วยค่าครองชีพที่ไม่สูงมากนัก คือทางเลือกของคุณปู่คุณย่าวัยเกษียณชาวอังกฤษในภาพยนตร์เรื่อง The Best Exotic Marigold Hotel หนังที่ทำเงินจากผู้ชมส่วนใหญ่ที่เป็นผู้สูงวัยได้มากถึง 130 ล้านเหรียญสหรัฐ จากทุนสร้างเพียง 10 ล้านเหรียญ สอดคล้องกับผลสำรวจในสหรัฐที่พบว่า ใน 10 ปีมานี้ คนดูหนังอายุ 50 ปีขึ้นไปที่เคยเชื่อกันว่า ไม่มีอิทธีพลต่อรายได้หนัง ตอนนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 68 ในสหรัฐ ซึ่งส่งผลต่อรายได้รวมของภาพยนตร์ ทำให้ผู้สร้างหันมาให้ความสำคัญกับภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้สุงวัยมากขึ้น
ประมาณการกันว่าในทศวรรษนี้ สหภาพยุโรปจะมีประชากรวัยทำงานลดลงถึงร้อยละ 16 ขณะที่ประชากรวัยเกษียณเพิ่มขึ้นร้อยละ 77 หรือ 48 ล้านคน และอายุเฉลี่ยของประชากรในประเทศจะเพิ่มจาก 37 ปีเป็น 52 ปี หนึ่งในปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า Greying Europe หรือ ยุโรปสีเทา ซึ่งหมายถึงสังคมที่เต็มไปด้วยผู้สูงอายุ หากทางหนึ่งที่หลายประเทศใช้ คือการวางแผนงบประมาณและภาษี เพื่อที่จะรองรับสวัสดิการของกลุ่มผู้สูงวัย รวมถึงเพิ่มอายุเกษียณจากเดิม 60 เป็น 65 ปี ก็ทำให้ผู้สุงอายุยังมีคุณค่าเป็นส่วนหนึ่งในสังคม และเป็นประชากรที่มีบทบาทได้ไม่ต่างจากคนวัยอื่น