ภาพรวมทีมกฎหมายไทยใช้
อลินา มิรอง ผู้ช่วย ศาสตราจารย์ อลังเปลเล่ต์ อาจารย์สอนกฎหมายระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยปารีส ตัวแทนฝ่ายกฎหมายของไทย ได้กล่าวว่า การอ้างอิงแผนที่ 25058 มิได้สู้กันกว้างมากขนาดนั้น และศาลฯก็ใช้เพียงแผนที่บางฉบับขึ้นมาอ้างอิง โดยพื้นที่ของตัวปราสาทมิได้กว้างมากขนาดนั้น
ต่อมา ศ.อแลงต์ เปเลย์ ได้กล่าวถึงหลักฐานที่สมเด็จนโรดมสีหนุ ได้เคยเสด็จไปบริเวณรั้วลวดหนาม บริเวณปราสาทพระวิหาร ภายหลังศาลพิพากษาในปี ค.ศ.1962 ( พ.ศ.2505) และในฐานะที่เป็นประมุขของกัมพูชาซึ่งไม่ได้มีท่าทีทักท้วง และย่อมแสดงว่ากัมพูชายอมรับเส้นเขตแดนของไทย
ขณะที่ ศ.เจมส์ ครอว์ฟอร์ด อาจารย์สอนกฎหมายระหว่างประเทศ กล่าวว่า ขอบเขตของศาลที่ได้กำหนดไว้แล้วในปี 2505 ได้กำหนดไว้แล้วว่าไม่ตัดสินเรื่องเขตแดน และการตัดสินครั้งนี้ คืออะไร และได้ยกเอกสารหลักฐานชี้ให้เห็นว่าจุดยืนกัมพูชามิได้ชัดเจน และการอ้างแผนที่ภาคผนวก 1 เพื่ออ้างแผนที่ 4.6 ตร.กม. และการยื่นแผนที่เพื่อขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก โดยครั้งแรกขอขึ้นทะเบียนเพื่อขอบริหารบริเวณโดยรอบตัวปราสาทด้วย และต่อมีการปรับแก้ไขโดยขอขึ้นทะเบียนเพียงตัวปราสาทซึ่งแคบลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจุดยืนกัมพูชาเปลี่ยนไป
รวมถึงการบริหารจัดการดูแลทางการไทยก็เป็นผู้ที่ใช้บริหารจัดการพื้นที่โดยรอบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมาทั้ง 2 ประเทศเข้าใจตรงกันว่า ตัวปราสาทเป็นของกัมพูชา และพื้นที่โดยรอบเป็นของไทย ซึ่งไทยได้สร้างสิ่งปลูกสร้างมากมาย อาทิ บันไดเหล็กที่ใช้เดินบริเวณโดยรอบปราสาทพระวิหารและห้องสุขาซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวโดยไทยเป็นผู้สร้างและบริหารจัดการ ซึ่งทางการทั้ง 2 ประเทศเข้าใจตรงกัน
รวมถึงการอ้างอิงเหตุการณ์ในอดีต ที่กรมพระยาดำรงราชนุภาพได้เคยเสด็จไปเยือนตัวปราสาทพระวิหารขึ้นไปนั้น เห็นการชักธงชาติฝรั่งเศสก็เป็นเพียงการอ้างอิงได้เพียงตัวปราสาทเท่านั้นมิใช่การกำหนดเส้นเขตแดน
นอกจากนี้ ยังรวมถึงการอ้างอิงการใช้แผนที่ตามภาคผนวก 1 ซึ่งมีเส้นเขตแดนของแผนที่ซึ่งมีความทับซ้อนเป็นจำนวนมาก และการตีความครั้งนี้จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงมากกว่าเดิม แม้ว่ากัมพูชาจะอ้างว่า การยื่นตีความครั้งนี้จะช่วยสร้างความชัดเจน แต่ไทยได้ใช้หลักทางวิทยาศาสตร์มาอ้างอิงแผนที่ตามภาคผนวก ตามที่กัมพูชาอ้างอิงนั้นกลับจะยิ่งทำให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะแผนที่มีการทับซ้อนตลอดแนวสันปันน้ำ