นายอำนาจ ยะโสธร เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่าปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิกส์ขนาดเล็กทยอยปิดกิจการไปแล้วกว่า 50 ราย โดยเฉพาะใน 3 ประเภทสินค้า ได้แก่ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร, กลุ่มเครื่องสุขภัณฑ์ และกระเบื้องปูพื้นและปูผนัง ที่ส่วนใหญ่ส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกาและยุโรป
นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่แข็งค่ายังทำให้มีการนำเข้าสินค้าเซรามิกส์ราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมาก ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถแข่งขันกับตลาดในประเทศที่มีราคาสินค้าต่ำกว่าได้ นายอำนาจ มองว่า ระดับค่าเงินบาทที่เหมาะสมสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิกส์ควรอยู่ที่ 31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะปัจจุบันกลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิกส์ ยังมีสินค้าค้างสต็อกอยู่จำนวนมาก และไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้ เนื่องจากส่งออกไปก็จะประสบภาวะขาดทุน จึงได้ชะลอการส่งออก เพื่อรอให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากกว่านี้
ทั้งนี้ การปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีในวันที่ 1 มิถุนายนนี้ อีก 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม จากเดิมราคา 18 บาท 13 สตางค์ ต่อกิโลกรัม จะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการเพิ่มอีกร้อยละ 20 หากไม่สามารถส่งออกได้อาจทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมเซรามิกส์ขนาดเล็กต้องปิดกิจการเพิ่มขึ้น