ทีมกู้ภัยในรัฐโอกลาโฮม่า เร่งขุดค้นซากอาคารเรียนโรงเรียนประถมพลาซ่า ทาวเวอร์ เพื่อช่วยเหลือเด็กนักเรียนออกจากซากอาคาร หลังจากพายุทอร์นาโดลูกยักษ์ ฐานพายุกว้าง 3 กิโลเมตร พัดผ่านเมืองมัวร์ ทางตอนใต้ของเมืองโอกลาโฮม่า ซิตี้ ด้วยความเร็วลมถึง 320 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จัดเป็นพายุหมุนระดับ EF4 ซึ่งเป็นระดับรองสูงสุดตามมาตรวัดความรุนแรงพายุของฟูจิตะ
ล่าสุดมีรายงานว่า จากจำนวนผู้เสียชีวิต 51 คน เป็นเด็กถึง 20 คน นอกจากนี้ยังมีเด็กที่สูญหายอีกอย่างน้อย 12 คน และมีเด็ก 70 คนบาดเจ็บ จากจำนวนผู้บาดเจ็บที่รักษาตัวในโรงพยาบาล 120 คน
ความรุนแรงของพายุทำให้เมืองมัวร์แทบจะราบเป็นหน้ากลองและเหลือเพียงเศษซากความเสียหาย ชาวบ้านอีกกว่า 38,000 คนไม่มีไฟฟ้าใช้ แต่เจ้าหน้าที่ต้องระดมกำลังไปช่วยเหลือที่โรงเรียนก่อน โดยมีการนำอุปกรณ์หนักเข้าช่วยการกู้ภัย แต่เนื่องจากพื้นดินอ่อนทำให้เครื่องทำงานได้ไม่เต็มที่ เจ้าหน้าที่ต้องใช้อุปกรณ์มือเข้างัดแท่งคอนกรีต
ผู้รอดชีวิตบางราย เผยว่า พายุลูกนี้เหมือนจะรุนแรงกว่าพายุหมุนยักษ์ระดับ EF 5 ที่ก่อตัวขึ้นเมื่อวันที่ 3 พ.ค.42 และพัดผ่านบริเวณดังกล่าว ซึ่งครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตไปมากกว่า 40 คน บ้านเรือนเสียหายหลายพันหลัง
ผู้ว่าการรัฐโอกลาโฮม่าต้องประกาศให้ 16 เขตเป็นพื้นที่ภัยพิบัติและระดมกำลังเจ้าหน้าที่ออกไปสำรวจความเสียหาย เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
ขณะที่สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของสหรัฐคาดการณ์ว่า จะเกิดสภาพอากาศเลวร้ายในอีกหลายพื้นที่ รวมทั้งพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐอาร์คันซอส์พื้นที่ตอนเหนือของรัฐเท็กซัส พื้นที่ตอนใต้ของรัฐมิสซูรี่และพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐแคนซัส
ด้า้นนายบารัค โอบาม่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งได้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และได้ยืนยันความพร้อมของฟีม่า ซึ่งเป็นหน่วยงานบรรเทาสาธารณภัยของรัฐบาลกลาง ในการให้ความช่วยเหลือรัฐโอกลาโฮม่า พร้อมเตือนให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยทอร์นาโด ติดตามพยากรณ์อากาศอย่างใกล้ชิด
ภัยพิบัติครั้งนี้ นับเป็นภัยพิบัติจากพายุทอร์นาโดที่เกิดขึ้นล่าสุดในช่วงต้นฤดูทอร์นาโดของสหรัฐฯ หลังจากก่อนหน้านี้เพียง 1 วัน หลายรัฐในพื้นที่ทางตอนกลางของสหรัฐฯ รวมทั้งรัฐไอโอว่า รัฐแคนซัสและรัฐโอกลาโฮม่าเพิ่งเผชิญความเสียหายจากสภาพอากาศเลวร้าย ทั้งจากพายุลมแรง พายุลูกเห็บและพายุทอร์นาโด