กฟผ.เร่งปรับโครงสร้างสายส่งไฟฟ้าให้ถึงใจกลางพื้นที่ภาคใต้
เหตุไฟฟ้าดับในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้เมื่อวานนี้ (22 พ.ค.) นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. เปิดเผยสาเหตุว่า สายส่งไฟฟ้าแรงสูงเชื่อมโยง จากภาคกลางไปสู่ภาคใต้ ช่วงจอมบึง-บางสะพาน 2 ขัดข้อง จึงไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าจากภาคกลางสู่ภาคใต้ได้
ทั้งนี้สายส่งที่จ่ายไฟฟ้าไปยังภาคใต้มี 4 เส้น คือ สาย 500 kV 2 เส้น และสาย 230 kV 2 เส้น โดยช่วงเช้าเวลา 08.00 น. ของวันเกิดเหตุ กฟผ.ได้ปลดสายส่ง 500kV จำนวน 1 เส้น เพื่อทำการซ่อมบำรุง แต่เมื่อเวลา 17.26 น.สายส่ง 500 kV เส้นที่ 2 เกิดการชำรุดคาดว่าเกิดจากฟ้าผ่า ทำให้ไม่สามารถจ่ายไฟฟ้าลงภาคใต้ได้ จึงจำเป็นต้องจ่ายไฟฟ้าผ่านสายส่งเส้น 230 kV ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า ทำให้สายส่งจ่ายไฟฟ้าเกินกำลังส่งผลให้สายส่งหลุดจากระบบ
กฟผ.จึงผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าทุกโรงในภาคใต้ รวมทั้งเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันดีเซลที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และ มาเลเซียได้ส่งไฟมาช่วยอีก 200 เมกะวัตต์ ทำให้สามารถจ่ายไฟได้ทั้งหมดเมื่อเวลา 23.00 น.
นายสุทัศน์ กล่าวอีกว่า จะเร่งปรับโครงสร้างสายส่งไฟทั่วประเทศให้เร็วขึ้น จากกำหนดเดิมที่วางแผนไว้ภายใน 5 ปี รวมทั้งเร่งสร้างสายส่งไฟขนาด 500 กิโลโวลต์ให้ถึงใจกลางพื้นที่ภาคใต้ จากปัจจุบันที่มีสายไฟขนาด 230 กิโลโวลต์ พร้อมยอมรับ ยังมีภาคอื่นที่มีภาวะเสี่ยงเช่นกัน
ขณะที่ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน สั่งการให้ กฟผ. ตั้งคณะกรรมการสอบสวนสาเหตุไฟฟ้าดับ ให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน รวมถึงตรวจสอบว่า มีเจ้าหน้าที่บกพร่องต่อการปฏิบัติงานหรือไม่ หลังนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้หาสาเหตุข้อเท็จจริง
ส่วนผลกระทบด้านเศรษฐกิจ นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ประธานอาวุโสหอการค้าไทย กล่าวว่า ผลกระทบสูงสุดคือ ความเชื่อมั่นในการลงทุน จึงเสนอให้รัฐบาลวางแผนด้านพลังงานในระยะยาว เนื่องจากรับทราบอยู่แล้วว่า พลังงานของประเทศไม่เพียงพอ