สพฉ.หวังขยายเครือข่ายกู้ชีพไปยังท้องถิ่น เพิ่ม60%สร้างทางรอดคนป่วยฉุกเฉิน
ตั้งเป้าขยายเครือข่ายกู้ชีพในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เผยปัจจุบันมีท้องถิ่นกว่าร้อยละ 60 ที่มีระบบการแพทย์ฉุกเฉิน พร้อมจัดประชุมออกแบบกองทุนการแพทย์ฉุกเฉินในอปท.หวังสนับสนุนงานให้มีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวในการทำงาน เพิ่มโอกาสรอดชีวิตสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉิน
เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน ที่โรงแรมบางกอก กอล์ฟ สปา รีสอร์ท จ.ปทุมธานี สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ “กองทุนการแพทย์ฉุกเฉินองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับจังหวัด” เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และกำหนดรูปแบบการจัดการกองทุนการแพทย์ฉุกเฉินสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับจังหวัด โดยมีผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล เข้าร่วมประชุม
นพ.วิทยา ชาติบัญชาชัย คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน กล่าวว่า ระบบการแพทย์ฉุกเฉิน มีเป้าหมายหลักคือให้ประชาชนได้รับบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินที่ได้มาตรฐาน มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม โดยการป้องกันให้การเจ็บป่วยฉุกเฉินเกิดขึ้นน้อยที่สุด จัดการให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับการปฏิบัติการฉุกเฉินที่ได้มาตรฐาน จนพ้นภาวะฉุกเฉินหรือได้รับการบำบัดรักษาเฉพาะอย่างทันท่วงที จะส่งผลให้ลดการเสียชีวิตและลดความพิการ จากการบาดเจ็บและเจ็บป่วยฉุกเฉิน โดยเป้าหมายดังกล่าวนี้ต้องอาศัยความร่วมมือในการดำเนินงานการแพทย์ฉุกเฉินจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีบทบาทภารกิจที่บัญญัติไว้ชัดเจน ในพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542 ที่ระบุว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินการการรักษาพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินไม่ว่าเป็นการรักษาในสถานพยาบาลหรือนอกสถานพยาบาล และพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ.2551 มาตรา 33 วรรคสองที่บัญญัติว่า เพื่อส่งเสริมการมีบทบาทตามความพร้อม และความจำเป็นของประชาชนในท้องถิ่น ให้คณะกรรมการการแพทย์ฉุกเฉิน (กพฉ.) สนับสนุนและประสานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินงานและบริหารจัดการระบบการแพทย์ฉุกเฉินในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่
“องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคือกลุ่มคนทำงานที่ถือว่าใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด ดังนั้นจึงถือว่ามีความสำคัญ ซึ่งหากท้องถิ่นมีการจัดระบบการแพทย์ฉุกเฉินที่ดี ก็ย่อมส่งผลให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับโอกาสและเข้าถึงการบริการทางการแพทย์ฉุกเฉินที่มากขี้นด้วย ดังนั้นหากเราสามารถจัดระบบ และมีกองทุนการแพทย์ฉุกเฉินเพื่อสนับสนุนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ และมีความคล่องตัวมากขึ้น ก็ย่อมส่งผลดีด้วย” นพ.วิทยากล่าว
ด้าน นพ.อนุชา เศรษฐเสถียร เลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉิน แห่งชาติ (สพฉ.) กล่าวว่า การจัดประชุมดังกล่าว มีขึ้นเพื่อค้นหา และร่วมกันพิจารณารูปแบบกองทุนการแพทย์ฉุกเฉินองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับจังหวัด และนำมายกร่างหลักเกณฑ์ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถดำเนินงานและบริหารจัดระบบการแพทย์ฉุกเฉินในการให้บริการแก่ประชาชนได้ ตามพระราชบัญญัติการแพทย์ฉุกเฉิน พ.ศ.2551 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ สำหรับในอนาคต สพฉ.ตั้งเป้าว่าจะต้องมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีระบบการแพทย์ฉุกเฉินให้ครอบคลุมมากที่สุด หรือ “1 กู้ชีพ 1 ตำบล” เพราะการจัดตั้งชุดปฏิบัติการที่ให้บริการครอบคลุมพื้นที่ ถือเป็นโอกาสพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน
ปัจจุบันมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งสิ้นรวม 7,851 แห่ง จำแนกเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัด 76แห่ง เทศบาล 2,082 แห่ง องค์การบริหารส่วนตำบล 5,693 แห่ง รูปแบบพิเศษ 2 แห่ง ในจำนวนนี้มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ดำเนินงานและบริหารจัดการระบบการแพทย์ฉุกเฉินเฉพาะในพื้นที่ตนเอง 4,731 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 60.03 เมื่อรวมการดำเนินงานกับภาคีเครือข่าย เช่น มูลนิธิ และหน่วยงานอื่นที่มีส่วนร่วมในพื้นที่จะมีความครอบคลุมจำนวน 6,683 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 85.12 ในจำนวนนี้มีการปฏิบัติงานเพื่อรับส่งผู้ป่วยฉุกเฉิน จำนวน 4,026 แห่ง คิดเป็นร้อยละของการปฏิบัติงาน 60.24