สัมผัสเสน่ห์ของ
เดือนสิงหาคมปี 1963 บทเพลง Be My Baby ของวง The Ronettes ได้รับการเผยแพร่เป็นครั้งแรก ผ่านมาครึ่งศตวรรษ เสน่ห์ของบทเพลงที่ใช้เรียกหาความรักยังคงสร้างแรงบันดาลทั้งในวงการภาพยนตร์ และวงการเพลงอย่างแพร่หลาย
เนื้อหาออดอ้อนและท่อนสร้อยติดหูของ Be My Baby เพลงดังปี 1963 ทำให้ The Ronettes วงทรีโอสามสาวเป็นที่ยอมรับของแฟนเพลงทั่วโลก 1 ในผู้หลงใหลบทเพลงนี้ยังรวมถึง ไบรอัน วิลสัน หัว หน้าวง Beach Boys ที่ถึงกับจอดรถกลางทาง เมื่อได้ยินเพลงนี้ทางวิทยุครั้งแรก เนื่องจากพิศวงกับการสอดประสานของเสียงดนตรีอันเหลือเชื่อ และตั้งเป้าหมายสำหรับชีวิตนักดนตรีที่เหลือในการสร้างผลงานให้ใกล้เคียงกับเพลงที่เขายกย่องให้เป็นเพลงป็อปแห่งศตวรรษเพลงนี้
ความอัศจรรย์ของ Be My Baby มาจากสไตล์การบันทึกเสียงของ ฟีล สเป็คเตอร์ โปรดิวเซอร์อัจฉริยะวัย 23 ปี ผู้นำหลักการประสานเสียงดนตรีในวงออร์เคสตรามาใช้กับดนตรีป็อป ด้วยการบันทึกทำนองเดียวกันด้วยเครื่องดนตรีหลากหลายชิ้น จนทำให้บทเพลงมีชั้นของเสียงที่หลากหลาย ซึ่งถูกนิยามในภายหลังว่า เป็นการสร้างกำแพงของเสียงหรือ Wall of Sound มีศิลปินนำ Be My Baby ไปร้องใหม่นับไม่ถ้วน และถูกนำไปประกอบในหนังและละครมากมาย รวมถึง Dirty Dancing ที่ผู้สร้างยอมจ่ายค่าลิขสิทธิ์กว่า 2.2 ล้านบาท เพื่อให้ได้ Be My Baby มาใช้ใน หนังแค่ 45 วินาที ความนิยมดังกล่าวทำให้คาดกันว่าครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา Be My Baby ถูกเล่นผ่านวิทยุ และโทรทัศน์แล้วเกือบ 4 ล้านครั้ง
เอกลักษณ์ที่คุ้นหูแฟนเพลงยังมาจากช่วงอินโทร ซึ่งเป็นท่อนตีกระเดื่อง 3 จังหวะ และกลองแต๊ก 1 จังหวะ ที่สร้างสรรค์โดย ฮัล เบลน ตำนานมือกลอง ซึ่งภายหลังจังหวะดังกล่าวถูกนำไปใช้ในบทเพลงยุค ต่อมาอย่างแพร่หลาย จนเป็นที่รู้จักในชื่อจังหวะกลองของ Be My Baby
รอนนี สเป็คเตอร์ นักร้องนำของ The Ronettes และอดีตภรรยาของ ฟีล สเป็คเตอร์ กล่าวว่าช่วงที่บันทึกเสียงเพลงนี้เธอและฟีล สเป็คเตอร์ต่างหลงรักกันและกันอย่างมาก จึงเป็นส่วนสำคัญให้บทเพลงเต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์แห่งรัก โดยเจ็ฟ แบร์รี หนึ่งในทีมผู้ประพันธ์มองว่า Be My Baby ถือเป็นจุดเปลี่ยนของการเขียนเนื้อเพลงในยุคนั้น ที่ลดบทบาทผู้ชายเป็นฝ่ายถูกตามง้อ และเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเป็นฝ่าย เรียกหาความรักจากชายที่ตนเป็นผู้เลือก