ภาคประชาชนตั้งข้อสังเกต
เครือข่ายภาคประชาสังคม ในนามกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน หรือ FTA Watch ยืนยันว่า จะจับตาการเจรจาการค้าเสรี หรือ เอฟทีเอ ไทยกับสหภาพยุโรปรอบ 2 ต่อไป พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การเจรจาครั้งนี้อาจทำให้ไทยต้องเสียประโยชน์ใน 4 ประเด็น คือ สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา การเข้าถึงเมล็ดพันธุ์พืช ความพยายามคุ้มครองนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการลดภาษีสุรา บุหรี่ต่างประเทศ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ ไทยกำลังถูกกดดันจากคณะเจรจาของอียูให้ไทยต้องยอมรับข้อตกลง
สำหรับความเคลื่อนไหวของกลุ่ม FTA Watch ในวันสุดท้ายของการเจรจา จะยังคงนัดรวมตัวกัน ที่ประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ ต่อต้านการกระทำของสหภาพยุโรป โดยจะยกระดับการรณรงค์สร้างความเข้าใจกับสังคมอย่างจริงจัง พร้อมทั้งประสานกับเครือข่ายเอ็นจีโอต่างประเทศ เพื่อประณามการกระทำของสหภาพยุโรปที่พยายามกดดันให้ไทยยอมรับข้อเจรจาที่ไทยเสียประโยชน์
ด้านนายอัครเรศน์ สายกระจ่าง ที่ปรึกษาผู้แทนการค้าไทย ตัวแทนคณะเจรจาฝ่ายไทย ยืนยันว่า การเจรจารอบ 2 ยังมีหลายประเด็นที่ต้องตีความ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด โดยคณะเจรจาทุกคน จะปฏิบัติหน้าที่ยึดประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ และไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน
ก่อนหน้านี้ กลุ่มผู้เคลื่อนไหวคัดค้านการทำเอฟทีเอกับอียู ระบุถึงผลกระทบด้านต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น หากคณะเจรจาของไทยยอมรับเงื่อนไขในการเปิดเสรีการค้า เช่น ข้อตกลงด้านยาและสุขภาพ ที่จะทำให้บริษัทยาข้ามชาติสามารถผูกขาด การขายยาได้นานขึ้น เช่น การขยายอายุสิทธิบัตรออกไปไม่ต่ำกว่า 5 ปี จากเดิม 20 ปี ส่งผลโดยตรงต่อราคายาที่แพงขึ้น และยาราคาถูกที่ไทยเคยผลิตเองอาจติดเงื่อนไขจนผลิตไม่ได้ ทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพไม่สามารถแบกภาระค่าใช้จ่ายได้
ด้านเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สหภาพยุโรปต้องการให้ไทยลดภาษีแอลกอฮอล์ลงไป ร้อยละ 90 ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้เครื่องดื่มมึนเมาต่างๆ ทะลักเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยได้อย่างเต็มที่ เป็นการสร้างนักดื่มหน้าใหม่ และทำให้นักดื่มหน้าเก่าดื่มหนักขึ้น
ด้านการเกษตรและอาหาร สหภาพยุโรปต้องการให้ไทยเปลี่ยนกฎหมายมาใช้อนุสัญญาคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ซึ่งจะคุ้มครองเฉพาะพันธุ์พืชใหม่และนักปรับปรุงพันธุ์ ไม่คุ้มครองพันธุ์พืชพื้นเมือง ซึ่งเป็นการเปิดช่องให้บริษัทอุตสาหกรรมเกษตรต่างชาติที่มีเทคโนโลยีสูงกว่า ฉกฉวยพันธุ์พื้นเมืองไปปรับแต่ง และจดสิทธิบัตรทับยีนของพืชเดิมได้ โดยได้สิทธิผูกขาดทั้งส่วนขาย ผลผลิต และผลิตภัณฑ์ โดยจะกระทบถึงปัญหาความมั่นคงทางอาหารของไทยเอง
ส่วนประเด็นเรื่องการคุ้มครองนักลงทุนต่างชาติ สหภาพยุโรปต้องการให้ไทยคุ้มครองการลงทุน เช่น ควบคุมการปล่อยน้ำเสีย โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรมของไทย แต่ผ่านอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศแทน