สารคดีตำนานชีวิต
แม้จะฝากผลงานในวงการเพลงเพียง 4 ปี แต่กว่า 4 ทศวรรษที่ผ่านมา การบรรเลงกีตาร์ที่ไม่เหมือนใครของ จิมมี เฮนดริกซ์ นักกีตาร์ชาวอเมริกัน ก็ยังคงเป็นต้นแบบให้กับนักดนตรีทุกยุคทุกสมัย ซึ่งตำนานของยอดมือกีตาร์ ได้นำมาขับขานอีกครั้งในสารคดีที่เจาะลึกชีวิตส่วนตัวของยอดศิลปินผู้นี้
การประกาศเลิกแสดงดนตรีของวงสี่เต่าทองเมื่อปี 1966 ทำให้ผลงานในอัลบั้ม Sgt. Pepper's Lonely Hearts Club Band ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ดีที่สุด หมดโอกาสนำมาแสดงสด กระทั้ง จิมมี เฮนดริกซ์ มือกีตาร์คนดังนำเพลงจากอัลบั้มนี้ไปเล่นบนเวทีหลังวางจำหน่ายได้เพียง 2 วัน แม้มีเวลาแกะเพลงไม่มากนัก แต่การบรรเลงของเฮนดริกซ์ก็สมบูรณ์แบบจน พอล แม็คคาร์ทนีย์ สมาชิกของ The Beatles ออกมายกย่องว่ายอดเยี่ยมไม่แพ้ต้นฉบับ คือหนึ่งในตำนานทางดนตรีที่ได้รับการกล่าวขวัญของ จิมมี เฮนดริกซ์ มือกีตาร์ชื่อดัง ที่ถูกนำมาบอกเล่าอีกครั้งใน American Masters: Jimi Hendrix - Hear My Train A Comin สารคดีเจาะลึกชีวิตของมือกีตาร์ผู้เปลี่ยนแปลงการเล่นกีตาร์ไฟฟ้าไปตลอดกาล
บ็อบ สมีตัน ผู้กำกับสารคดีชี้ว่า การที่ศิลปินผิวสีอย่างเฮนดริกซ์ก้าวขึ้นมาเป็นที่ยอมรับในยุค 60 ที่ความขัดแย้งด้านเชื้อชาติกำลังคุกรุน มาจากการตัดสินใจไปแจ้งเกิดในประเทศอังกฤษ ซึ่งความขัดแย้งด้านผิวสีเบาบางกว่าในสหรัฐ เพราะนักกีตาร์บลูส์ผิวขาวแถวหน้าของอังกฤษในยุคนั้นทั้ง เอริค แคลปตัน, จิมมี เพจ และ เจฟ เบค ต่างยกย่องมือกีตาร์บลูส์ผิวสีชาวอเมริกันไม่ต่างจากครูเพลง ทำให้แฟนเพลงอังกฤษให้ความนับถือนักดนตรีเชื้อสายแอฟริกันอเมริกัน ซึ่งความโด่งดังในอังกฤษทำให้เขากลับมาประสบความสำเร็จในสหรัฐในเวลาต่อมา
แหล่งข้อมูลของสารคดีนี้มีตั้งแต่บทสัมภาษณ์,ภาพถ่าย,จดหมาย, และโฮมมูฟวี่ส่วนตัวของมือกีตาร์ดัง รวมถึงภาพการแสดงสำคัญทั้งคอนเสิร์ตสุดท้ายในประเทศเยอรมนีก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในอีก 12 วันต่อมาในวัย 27 ปี และการแสดงอันเป็นตำนานในเทศกาลวู๊ดสตอก ที่เฮนดริกซ์นำเพลงชาติสหรัฐมาแสดง ด้วยการใช้กีตาร์ไฟฟ้าเลียนเสียงความอลหม่านในสงครามทั้งเสียงระเบิดและขีปนาวุธ ที่ทำให้ผู้ฟังระลึกถึงความแตกแยกในสังคมอเมริกันในเวลานั้น ทั้งจากสงครามเวียดนามและการจราจลด้านความเหลื่อมล้ำเชื้อชาติ ซึ่งภาพที่ถูกบันทึกในวันนั้นส่งให้เฮนดริกซ์กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเรียกร้องสันติภาพของหนุ่มสาวบุฝผาชนมานับแต่นั้น