ธุรกิจห่วงการเมืองรุนแรง-ยื้ดเยื้อ แนะมองประโยชน์ชาติ

ภาคธุรกิจบอกว่าเมื่อการเมืองมีปัญหาก็จะกระทบเศรษฐกิจ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องเดินไปคู่กัน ปัญหาที่เกิดขึ้นตอนนี้ ก็อยากให้ทุกฝ่ายพิจารณาถึงผลกระทบและยอมถอย หากทำแล้วไม่เกิดผลดีกับประเทศ ขณะที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังบอกว่ากลไกของรัฐต้องขับเคลื่อน และผลักดันให้ประเทศเข้มแข็ง แต่วันนี้กลับประสบปัญหาการยอมรับ และการเชื่อใจจากประชาชน

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า หลายนโยบายของรัฐถูกวิพากษ์วิจารณ์ และถูกตำหนิทั้งในเชิงของประชานิยมและคอร์รัปชั่น ที่ขยายตัวค่อนข้างมาก ทั้งหมดนี้บั่นทอนความเชื่อถือและไว้วางใจ ขณะเดียวกัน ก็นำไปสู่ความไม่พอใจของคนส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐต้องเร่งแก้ไข เพื่อให้ขับเคลื่อนประเทศต่อไปได้

สำหรับเศรษฐกิจในขณะนี้ นายสมคิด มองว่ากำลังเกิดภาวะถอย เพราะการทรุดตัวของเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั้ง 4 ตัว ซึ่งคือการส่งออก การบริโภค การลงทุน และการใช้จ่ายภาครัฐ โดยเป็นปัญหาที่สะสมมาหลายปีแล้ว ส่วนเศรษฐกิจปีนี้น่าจะเติบโตไม่ถึงร้อยละ 3

ด้านนายบุญชัย โชควัฒนา รองประธานกรรมการหอการค้าไทยและประธานกรรมการบริหาร บริษัท สหพัฒนพิบูล กล่าวว่า กำลังซื้อสินค้าทั่วไปในปีนี้ของผู้บริโภคลดลงประมาณร้อยละ 10 - 20 แต่ถ้าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย กำลังซื้อหายไปเกือบครึ่งหนึ่ง เพราะเศรษฐกิจที่ไม่ดี การเมืองวุ่นวาย ทำให้คนไม่มีอารมณ์ในการจับจ่ายใช้สอย ทั้งนี้ เขาได้เสนอทางออกให้กับรัฐบาลด้วยเช่นกัน

นายพงษ์ศักดิ์ อัสสกุล ประธานกิตติมศักดิ์ หอการค้าไทย กล่าวว่า การแก้ปัญหาด้วยการยุบสภาหรือลาออก ต้องตอบให้ได้ก่อนว่าปัญหาจะจบหรือไม่ หรือหากเลือกตั้งใหม่ รัฐบาลชุดเดิมก็อาจกลับมาอีก

ชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตยได้ร่วมชุมนุมที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน ด้วย หลังจากที่ไม่นานมานี้ได้ออกมาคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และครั้งนี้เป็นการออกมาแสดงเจตนารมณ์ในการขับไล่นักการเมืองทุจริต

นายสมเกียรติ หอมละออ ประธานชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลยังคงเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้อง ก็จะเดินหน้ารณรงค์ต่อไป โดยการชุมนุมก็เป็นแนวทางหนึ่ง ส่วนระยะเวลาการรณรงค์ ก็ไม่ได้มีการกำหนดไว้