นายราฟาเอล กอร์เรอา ประธานาธิบดีเอกวาดอร์ แถลงผ่านสถานีโทรทัศน์ถึงการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มในครั้งนี้ว่า เป็นการเก็บภาษีในระยะสั้นเพียง 1 ปี โดยในส่วนของนิติบุคคลจะเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 3 ของผลกำไร จากปัจจุบันอัตราภาษีของนิติบุคคลอยู่ที่ร้อยละ 12
ส่วนบุคคลธรรมดาที่มีทรัพย์สินมากกว่า 36 ล้านบาทขึ้นไป จะต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 ส่วนประชาชนที่มีรายได้เดือนละ 36,000 บาทขึ้นไป จะต้องถูกหักเงินเดือนเพื่อจ่ายภาษีเท่ากับรายได้ 1 วันของเงินเดือนทุกๆ 36,000 บาท สูงสุดไม่เกิน 5 เดือน นอกจากนี้รัฐบาลจะขายสินทรัพย์และออกพันธบัตรเพื่อเร่งหาเงินฟื้นฟูพื้นที่ประสบแผ่นดินไหวอีกทางหนึ่งด้วย
คำสั่งให้เพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีในครั้งนี้ ถือเป็นการใช้อำนาจพิเศษของผู้นำประเทศภายใต้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินซึ่งกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยหลังจากนี้จะต้องนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมสภาแห่งชาติเพื่อขอการอนุมัติอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าคำสั่งดังกล่าวจะผ่านความเห็นชอบ เนื่องจากพรรคการเมืองของผู้นำเอกวาดอร์ครองเสียงข้างมากในสภา
ปัจจุบันเศรษฐกิจของเอกวาดอร์ซึ่งพึ่งพาการส่งออกน้ำมันกำลังอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่ เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดต่ำลงเป็นประวัติการณ์ จนทำให้การคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของปี 2559 ใกล้แตะระดับศูนย์
ส่วนที่เมืองมานตา ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหวรุนแรงที่สุด มีประชาชนจำนวนหนึ่งออกไปคุ้ยหาเสื้อผ้า รองเท้า อาหาร หรือแม้แต่เงินในกองขยะ เพื่อนำมาประทังชีวิต ในขณะที่ความช่วยเหลือจากนานาชาติยังคงหลั่งไหลเข้าไปในเอกวาดอร์อย่างต่อเนื่อง โดยรัฐบาลโคลอมเบียและเวเนซูเอลา ส่งทีมกู้ภัยและความช่วยเหลือที่จำเป็น เช่น น้ำดื่ม อาหารและเวชภัณฑ์ ไปช่วยเหลือชาวเอกวาดอร์แล้ว ล่าสุดมีรายงานจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 570 คน บาดเจ็บ 7,015 คน ขณะที่ประชาชนประมาณ 20,500 คนไร้ที่อยู่อาศัย