ภายหลังจากที่มหาวิทยาลัยรังสิตประกาศยกเลิกการสอบเข้าวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์และเภสัชศาสตร์ที่จัดสอบไปเมื่อวันที่ 7-8 พ.ค.2559 เนื่องจากพบว่ามีการทุจริตการสอบนั้น ผศ.นเรฏฐ์ได้ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการข่าว 19.00 น.ไทยพีบีเอสวันนี้ (8 พ.ค.2559) โดยมีเนื้อหาดังนี้
มีผู้เข้าสอบทั้งหมดเท่าไหร่ และรับจำนวนเท่าไหร่
นักศึกษาที่เข้าสอบมีประมาณ 3,000 คน เป็นผู้ที่สนใจเข้าเรียนในคณะแพทย์ ทันตแพทย์และเภสัชศาสตร์ โดย 1 คน อาจจะเลือกได้มากกว่า 1 คณะ ใน 3,000 คนนี้ จะรับเข้าวิทยาลัยการแพทย์ได้ประมาณ 30 คน ทันตแพทย์ 30-40 คน และเภสัชศาสตร์ 40-50 คน รวมแล้วเราจะรับได้ประมาณ 100 กว่าคน ถือว่าการแข่งขันสูงมาก
พบการทุจริตตั้งแต่วันที่ 7 พ.ค. เพราะเหตุใดจึงไม่ยุติการสอบในทันทีที่พบ
เมื่อวันที่ 7 พ.ค.เป็นการสอบวันแรก มหาวิทยาลัยก็มีการหารือการเรื่องเทคโนโลยี (ที่ใช้ในการทุจริตการสอบ) ในปัจจุบัน และมีการกำชับให้ตรวจสอบนาฬิกาและอื่นๆ ซึ่งอาจารย์ที่คุมสอบก็ได้ตรวจดูและพบว่าผู้เข้าสอบบางคนมีพิรุธ คือ มีนาฬิกาที่เป็นสมาร์ทวอชท์ติดตัวอยู่ และเมื่อตรวจสอบดูก็พบว่ามีคำตอบของวิชาคณิตศาสตร์อยู่จริง ในชั้นแรกเราได้สอบสวนเด็ก และเด็กก็ให้การรับสารภาพว่าเขาได้ติดต่อกับสถาบันกวดวิชาซึ่งเป็นสถาบันกวดวิชาที่มีป้ายโฆษณาติดอยู่ใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัยเลยว่า "ติวเข้มเข้าแพทย์ ทันตฯ เภสัชฯ ไม่ติดยินดีคืนเงิน" ซึ่งถึงเขาจะใช้คำว่า "ติว" แต่วิธีการที่เขาใช้คือเขาใช้วิธีการทุจริต โดยเด็กจะต้องจ่ายเงินล่วงหน้าไว้ให้สถาบันกวดวิชาแห่งนี้ประมาณ 50,000 บาท แล้วสถาบันฯ จะให้นาฬิกานี้มา ซึ่งเขาจะส่งคำตอบมาให้ในห้องสอบ ซึ่งเด็กจะต้องทำสัญญากับสถาบันกวดวิชาแห่งนี้ไว้ว่าถ้าสอบติดจะต้องจ่ายเพิ่มอีก 800,000 นี่คือข้อมูลที่เด็กให้การกับเราไว้
หลังจากสอบสวนเด็กเสร็จแล้ว ทางอาจารย์ก็คุยกันว่าในวันนี้ (8 พ.ค.) เราจะหาต้นตอให้ได้ เพราะว่าเรายังไม่รู้ว่ามันเป็นขบวนการแค่ไหน เราจึงจัดการตั้งแต่ตอนเช้า คือ เราตรวจสอบผู้เข้าสอบอย่างละเอียด และย้ำว่าให้ตรวจแว่นตาด้วยเพราะแว่นตาเป็นเรื่องค่อนข้างลำบากที่จะให้เด็กถอดแว่นตาเข้าห้องสอบ แต่นาฬิกายังถอดได้ แต่เราให้เจ้าหน้าที่ตั้งข้อสังเกตว่าใครใส่แว่นตาผิดปกติ ก็พบว่ามีเด็กอยู่กลุ่มหนึ่งที่สอบไปได้ประมาณ 45 นาทีก็ลุกออกเลย ซึ่งผิดปกติ เพราะเราให้เวลา 3 ชั่วโมง อาจารย์ก็เห็นว่าเด็กที่ลุกออกก่อนกลุ่มนี้ใส่แว่นตาที่ผิดปกติ ก็เลยเข้าไปประกบและขอแว่นตามาตรวจสอบแล้วก็พบว่ามีการถ่ายข้อสอบเข้าไปในแว่นตา โดยเด็กให้การว่ากำลังส่งข้อมูลออกไปยังศูนย์หนึ่งที่มีคนเฉลยข้อสอบ แล้วจะส่งข้อมูลกลับมาที่นาฬิกา วันนี้ก็เลยเป็นวันที่เราจับได้อย่างครบวงจร
ขณะนี้บอกตามตรงว่าเราไม่รู้ว่ามีการทุจริตมากน้อยแค่ไหน เพื่อความบริสุทธิ์ยุติธรรม เราจึงต้องจัดสอบใหม่
คนที่ส่งข้อมูลออกไปกับคนที่รับข้อมูลเกี่ยวข้องกันอย่างไร
เราได้เชิญตำรวจมาช่วยสอบสวนด้วย เพราะเราไม่แน่ใจ ว่าพวกเขาเป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่ หรือเป็นคนละกลุ่มกัน ซึ่งถ้าเป็นคนละกลุ่มกันยิ่งทำให้รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นการทำกันอย่างเป็นขบวนการซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากๆ เพราะเป็นการเอาเทคโนโลยีอย่างกล้องสายลับมาส่งข้อมูลออกไป และคราวหน้าเราคงต้องระมัดระวังมากขึ้น ห้ามเอาอุปกรณ์ทุกชนิดเข้าไป
ดำเนินการกับผู้กระทำผิดอย่างไร
เบื้องต้นสำหรับเด็กที่ทุจริตในการสอบก็จะถูกตัดสิทธิ์ ถูกขึ้นบัญชีดำไม่ให้เข้าสอบอีก ส่วนโรงเรียนกวดวิชานั้น เราตั้งใจว่าจะเอาผิดให้ได้ เพราะสิ่งที่เขาทำถือเป็นความเลวร้ายของสังคมที่เขาเอาเด็กมาหาประโยชน์และโกง เราจะดำเนินคดีอย่างที่สุด ทั้งทางอาญาและทางแพ่ง เพราะมหาวิทยาลัยต้องจัดสอบใหม่ และยังมีผู้สมัครสอบอีกหลายคนที่ได้รับผลกระทบ หลายคนมาจากต่างจังหวัด ทางเราก็เสียใจที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น และขอให้ทุกคนมาสอบใหม่โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ในวันที่ 31 พ.ค.-1 มิ.ย.
มั่นใจแค่ไหนว่าจะไม่มีการทุจริตเกิดขึ้นอีก
คราวนี้เราทำความเข้าใจกับผู้คุมสอบเป็นอย่างดี และจะต้องห้ามนำอุปกรณ์ทุกอย่างเข้าไปในห้องสอบ ซึ่งจริงๆ เราก็กังวลอยู่ส่วนหนึ่งว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิ แต่เมื่อเกิดเหตุแบบนี้แล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องห้ามนำอุปกรณ์ต่างๆ เข้าไป ส่วนกรณีของแว่นตา เราจะต้องขอตรวจเป็นรายบุคคล และเราต้องเขียนประกาศไว้ว่าต้องยินยอมให้เราตรวจ ถึงจะมีสิทธิสอบ จริงๆ แล้วเราต้องตรวจที่หูด้วย เพราะเรารู้ว่าเทคโนโลยีมันมาแล้ว คือ หูฟังขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่ที่หู เราจึงคุยกันว่าในการสอบคราวหน้า เราต้องตรวจละเอียดมาก