เกิดเหตุคนขับรถบรรทุกพุ่งชนฝูงชนที่กำลังฉลองวันชาติฝรั่งเศส หรือวันบาสตีย์ (Bastille) ในเมืองนีซ ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส โดยเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดระหว่างที่ฝูงชนกำลังชมการจุดดอกไม้ไฟเฉลิมฉลองวันชาติฝรั่งเศส บนถนนเดส ซ็องเกรส์ ซึ่งเป็นถนนเลียบชาดหาดชื่อดังของเมืองนีซ โดยรถบรรทุกคันหนึ่งแล่นมาด้วยความเร็วสูงพุ่งเข้าชนฝูงชนอย่างจงใจในระยะกว่า 100 เมตร ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 70 คนและได้รับบาดเจ็บอีกราว 100 คน
ขณะที่คนขับรถบรรทุกถูกตำรวจระดมยิงจนเสียชีวิต แต่ยังไม่มีการเปิดเผยข้อมูลของคนขับรถบรรทุกที่ก่อเหตุและไม่มีสัญญาณว่ามีเหตุร้ายเกิดตามมาอีก
มีการเผยแพร่ภาพผ่านทางโซเชียลมีเดียขณะที่ฝูงชนพากันวิ่งหนีอย่างอลหม่าน และภายหลังเกิดเหตุนายกเทศมนตรีเมืองนีซ ทวิตข้อความผ่านทางทวิตเตอร์ขอให้ชาวเมืองอยู่แต่ในบ้านเพื่อความปลอดภัยและติดตามข้อมูลข่าวสาร ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์ที่นั่งอยู่ในบาร์บริเวณที่เกิดเหตุเล่าว่า เขาได้ยิงเสียงปืนและเห็นผู้คนหลายร้อยคนต่างวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง บรรยากาศเต็มไปด้วยความตื่นกลัวและเสียงกรีดร้องในทุกๆที่
เบื้องต้นมีรายงานว่าอาจมีผู้เสียชีวิตถึง 30 คนและมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ต้องลำเลียงผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาล
ล่าสุดเมื่อเวลา 07.13 น.สำนักข่าวบีบีซี รายงานอ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่รัฐสภาในพื้นที่ว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 75 คน มีรายงานเพิ่มเติมว่าเจ้าหน้าที่พบปืนและระเบิดอยู่ในรถบรรทุกคันดังกล่าว
ทั้งนี้เหตุร้ายในเมืองนีซเกิดขึ้นหลังครบรอบ 8 เดือนที่กลุ่มไอเอสก่อเหตุโจมตีกรุงปารีสเมื่อปลายปี 2558 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 130 คน ขณะที่ฝรั่งเศสเพิ่งจะโล่งใจที่การแข่งขันฟุตบอลยูโรผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นโดยไม่มีการคุกคามจากกลุ่มก่อการร้าย
ก่อนหน้านี้นายกเทศมนตรีเมืองนีซ เคยเตือนว่ากลุ่มไอเอสอาจก่อเหตุโจมตีขึ้นในพื้นที่แถบนี้ หลังเกิดเหตุโจมตีกรุงปารีสและกรุงบรัสเซลส์ของเบลเยี่ยม และก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุร้ายในเมืองนีซเพียงไม่กี่ชั่วโมง ประธานาธิบดีฟรังซัวส์ ออลลองด์ ผู้นำฝรั่งเศส ซึ่งในอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศในขณะเกิดเหตุ เปิดเผยว่าภาวะฉุกเฉินที่บังคับใช้มาตั้งแต่เกิดเหตุโจมตีกรุงปารีสเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2558 จะไม่มีการขยายเวลาการบังคับใช้หลังมีกำหนดสิ้นสุดในวันที่ 26 ก.ค.2559
"This huge panic erupted, everyone was running" - Nice attack eyewitness Grace-Ann Morrow https://t.co/zrSfEjtIrc https://t.co/HdaFhvvJyT
— BBC Breaking News (@BBCBreaking) July 14, 2016