วันนี้ (26 ส.ค. 2559) การทำงานของร่างกายของมนุษย์นั้นไม่ต่างจากเครื่องจักรกล ที่มีอาหารเป็นเชื้อเพลิงพลังงาน ขณะเดียวกันร่างกายยังต้องการวิตามินและแร่ธาตุที่เปรียบได้กับน้ำมันหล่อลื่น เพื่อช่วยให้เซลล์ต่างๆ ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบสมองระบบประสาท ระบบขับถ่าย ระบบการเจริญเติบโต และระบบภูมิคุ้มกัน แต่วิถีชีวิตที่เร่งรีบในปัจจุบัน ทำให้หลายคนได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ และเลือกซื้อวิตามินเสริมมาทานทดแทน
ทั้งนี้ การทานวิตามินเสริมให้ได้ประโยชน์อย่างแท้จริงต้องดูว่าร่างกายขาดอะไร และควรทานในปริมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้ วิตามินที่รับประทานกันอยู่นั้น มีทั้งวิตามินแบบละลายน้ำและละลายในไขมัน อย่าง วิตามินเอ ดี อี และเค ควรจะทานหลังอาหารเพื่อจะละลายไปกับไขมันในอาหาร ร่างกายจะดูดซึมไปใช้ได้ดี ส่วนวิตามินซี ควรทานพร้อมมื้ออาหารจะได้ไม่กัดกระเพาะ
แต่หากผู้บริโภคต้องการวิตามินเสริมที่ตรงกับความต้องการและได้ประโยชน์มากที่สุด ผู้เชี่ยวชาญมีคำแนะนำเพิ่มเติมในการเลือก รวมถึงวีธีทาน “วิตามินปรุงเฉพาะบุคคล” มาฝาก
พญ.สร้อยเพชร วีระไวทยะ แพทย์ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลกรุงเทพไชน่าทาวน์ กล่าวว่า วิตามินปรุงเฉพาะบุคคลเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่ต้องการวิตามินเสริม โดยแพทย์จะวินิจฉัย ซักประวัติสุขภาพ และวิเคราะห์ผลเลือด ว่าคนไข้ยังต้องการวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายอะไรอีกบ้าง ซึ่งทางโรงพยาบาลจะปรุงสูตรและควบคุมสัดส่วนอย่างเหมาะสมตามใบสั่งของแพทย์ เช่น วิตามินและแร่ธาตุ 20 ชนิด ถูกปรุงผสมและบรรจุขึ้นมาใหม่รวมใน 1 แคปซูล สำหรับคนไข้ 1 คน เป็นต้น
“ข้อจำกัดของวิตามินสำเร็จตามท้องตลาด ที่ทุกคนต้องทานในปริมาณเท่าๆ กันหมด ตามสูตรมาตรฐานที่ผู้ประกอบการผลิต เช่น วิตามินซี 500 และ 1,000 มิลลิกรัม ยิ่งบางคนไม่รู้ว่าตัวเองขาดวิตามินและแร่ธาตุชนิดไหนบ้าง ทำให้เลือกทานน้อยหรือมากกว่าจำเป็น หลายคนทานหลายๆ อย่างพร้อมกันทีละเป็นกำมือก็มี จนทำให้ตับและไตทำงานหนัก และได้รับสารอาหารที่ร่างกายต้องการจริง ๆ ไม่ครบ วิตามินที่ปรุงขึ้นเฉพาะบุคคล จึงกลายเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการทานวิตามินเสริมและแร่ธาตุ ที่ต้องการผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป” พญ.เวชศาสตร์ชะลอวัยคนเดิมระบุ
พญ.สร้อยเพชร กล่าวต่ออีกว่า การทานวิตามินปรุงเฉพาะบุคคลมีความปลอดภัยสูง เพราะสั่งปรุงและผลิตภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและเภสัชกร ที่มีการติดตามผลและประเมินสุขภาพผู้รับวิตามินเสริมเป็นระยะๆ ทั้ง 3 เดือน 6 เดือน หรือตามความเหมาะสมของสภาพร่างกายของคนกิน ว่าต้องลดหรือต้องเพิ่มวิตามินชนิดไหนเข้าไปอีก
แม้ว่าวิตามินหลายชนิดจะมีอยู่แล้วในอาหารธรรมชาติ อย่าง วิตามินซี จากผักและผลไม้รสเปรี้ยว วิตามินเอจากผักผลไม้สีเหลืองและส้ม หรือวิตามินอีจากไข่และถั่วเหลือง แต่กลุ่มคนที่มีปัญหาระบบดูดซึมไม่ดี มีปัญหาลำไส้ ทานได้น้อย อ่อนเพลีย รวมทั้งผู้สูงอายุ จึงจำเป็นต้องรับวิตามินเสริมร่วมด้วย เพื่อทดแทนสารอาหารและวิตามินที่ร่างกายดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ยาก
อย่างไรก็ดี พญ.สร้อยเพชร ย้ำว่าวิตามินเสริมไม่จำเป็นสำหรับทุกคนแค่ทานอาหารครบ 5 หมู่ทุกมื้อ ดื่มน้ำสะอาด ก็ได้ปริมาณวิตามินและแร่ธาตุครบถ้วนตามความต้องการของร่างกายแล้ว
แต่สำหรับผู้ที่ต้องทานวิตามินเสริมเป็นตัวช่วยดูแลสุขภาพ ราคาที่ตกกระปุกละหลายร้อยถึงหลักพันบาท การเลือกทานที่ไม่เหมาะสม ได้รับวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณน้อยหรือมากเกินไป นอกจากไม่ได้ประโยชน์เพิ่มแล้ว ยังเปลืองเงินโดยใช่เหตุอีกด้วย