วันนี้ (21 ก.ย.2559) พล.อ.ประวิตรให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า การที่ลูกชายพล.อ.ปรีชา รับเหมางานโครงการของกองทัพภาคที่ 3 รวม 2 สัญญา วงเงิน 26.9 ล้านบาทในปี 2558 และ 2559 ไม่ใช่เรื่องผิด หากดำเนินการไปตามขั้นตอนและเชื่อว่าไม่กระทบต่อภาพลักษณ์ของกองทัพ
"ใครก็ไปประมูลได้ คุณก็ไปประมูลได้ ยื่นซองได้ ไม่ได้กำหนดว่าถ้าเป็นลูกของ พล.อ.ปรีชาแล้วยื่นซองไม่ได้ ใครก็ยื่นได้ ถ้าเขาเสนอราคาต่ำ ทำตามสเปคที่กองทัพภาคที่ 3 กำหนดทั้งหมด เขาก็ต้องได้ไป มันเป็นการประมูลอิเล็กทรอนิคส์ เขาประมูลได้ก็เป็นเรื่องเขา ยืนยันว่าการประมูลเป็นไปอย่างโปร่งใส แต่ที่สังคมสงสัยก็เป็นเรื่องธรรมดาเพราะเขานามสกุลจันทร์โอชา" พล.อ.ประวิตรกล่าว
พล.อ.ประวิตรเชื่อว่าเรื่องนี้จะไม่บานปลาย และไม่กังวลว่าจะกระทบต่อความเชื่อมั่นของกองทัพ
ขณะที่ พล.อ.ปรีชา ซึ่งเป็นน้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ยอมรับว่านามสกุล "จันทร์โอชา" เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สังคมจับจ้องเรื่องที่บริษัทของลูกชายประมูลโครงการได้ แต่ยืนยันว่าการประมูลเป็นไปอย่างถูกต้อง และตัวเขาเองก็พ้นจากตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 3 มาแล้ว
พล.อ.ปรีชา เคยดำรงตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 3 ระหว่างปี 2556 - 2557
"เราก็พ้นมาแล้ว (จากตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 3) เขามีระเบียบเงื่อนไขอะไรเราก็ทำตามนั้น อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ถ้าเราไม่ผิดก็ไม่มีปัญหาอะไร ชี้แจงได้" พล.อ.ปรีชากล่าว พร้อมกับชี้แจงข้อวิจารณ์เรื่องการนำชื่อภรรยาของเขา คือ นางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ไปตั้งชื่อฝายชะลอน้ำ "แม่ผ่องพรรณพัฒนา" ใน จ.เชียงใหม่ ว่าเป็นชื่อที่ชาวบ้านขอมา
"สำนักปลัดกระทรวงกลาโหมทำงานร่วมกับสมาคมภริยาข้าราชการซึ่งทำงานเกี่ยวกับสาธารณประโยชน์ ในพื้นที่เขาก็ร้องขอมา ก็เลยให้ศูนย์พัฒนาภาคเหนือไปดูพื้นที่แล้วสมาคมฯ ก็สนับสนุนงบประมาณให้ ซื้อหิน 7,800 บาท หาไม้ไผ่มา แล้วเอาหินกอง ส่วนชื่อฝายนั้น ชาวบ้านใน 15 หมู่บ้านเขาขอมา เขาก็ไปตั้งกันเอง เขาก็ขอบคุณเราทั้งฝ่ายทหารและผู้คนที่เกี่ยวข้อง ไม่มีอะไรหรอก" พล.อ.ปรีชากล่าว