วันนี้(30 พ.ย.2559) นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร เป็นประธานการประชุมร่วมกับนายยรรยง อินทฤทธิ์ ผู้ตรวจราชการกรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรม ชาติและสิ่งแวดล้อม เกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาบึงสีไฟ ที่ขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำนานาชาติ และเป็นแหล่งน้ำใหญ่อันดับ 3 ของประเทศไทย
โดยที่ประชุมได้ข้อสรุปยอมรับแผนงานของกรมทรัพยากรน้ำ ที่เสนอแผนการใช้งบประมาณ 253 ล้านบาท ในการขุดลอกและพัฒนา รวมถึงสร้างแหล่งท่องเที่ยวและจุดเรียนรู้ระบบนิเวศตามโครงการพระราชดำริ ให้บึงสีไฟเป็นแก้มลิง สามารถกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง และเป็นที่รองรับน้ำในช่วงฤดูน้ำหลากให้ได้ในอนาคตต่อไป
ขณะที่ก่อนหน้านี้ คณะทำงานลงที่จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ได้ข้อยุติว่าชาวพิจิตรต้องการให้พัฒนาบึงสีไฟ รวมทั้งคืนธรรมชาติ บึงสีไฟต้อง มีน้ำ มีปลา มีดอกบัว และมีอากาศที่บริสุทธิ์ เป็นแหล่งพักพิงและเพาะขยายพันธุ์สัตว์น้ำ
นายปิยะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร บอกว่า แผนพัฒนาบึงสีไฟมี 5 แผนงานและ 5 กิจ กรรม คือ สร้างบึงสีไฟให้เป็นแหล่งขยายพันธุ์อนุบาลสิ่งมีชีวิตในธรรมชาติ รองรับน้ำในฤดูน้ำหลากเป็นแหล่งน้ำอุปโภค-บริโภค และเกษตรกรรม สถานที่ท่องเที่ยงเชิงนิเวศและแหล่งเรียนรู้ของชุมชนรวมถึงให้ประโยชน์ตามธรรมชาติอย่างยั่งยืน บึงสีไฟต้องเป็นแหล่งเรียนรู้ตามโครงการพระราชดำริ ส่วน 5 กิจกรรม เช่น พัฒนาพื้นที่ชุ่มน้ำ ไม่เน้นสิ่งปลูกสร้างหรือการลง ทุน เพราะอาจมีปัญหาเรื่องการดูแลในระยะยาว
ส่วนข้อกังวลที่ว่า การพัฒนาบึงสีไฟในอดีตติดขัดด้วยข้อกฎหมายที่มีกรมเจ้าท่าและกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม นั้น ขณะนี้มีมติ ครม.ออกมาชัดเจนแล้วว่า การพัฒนาบึงสีไฟให้เป็นแก้มลิงหรือแหล่งน้ำ ไม่เกี่ยวข้องกับการทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ส่วนกรมเจ้าท่า พร้อมสนับสนุน แต่มีขีดจำกัดว่า ต้องไม่ขยายสิ่งปลุกสร้างหรือกินพื้นที่บึงเพิ่มเติมไปมากกว่าที่เป็นอยู่ อีกทั้งกรมน้ำฯ ก็วางแผนเรื่องการสมดุลน้ำทั้งระบบ น้ำเข้าบึงสีไฟและการแบ่งปันน้ำในบึงสีไฟให้กับพื้นที่รอบข้างเพื่อทำการเกษตร โดยจะต้องของบจากรัฐบาล 253 ล้านบาท