อัยการสูงสุดหารือนายกฯ กรณีเยอรมนียึดราชพาหนะ

แถลงการณ์สำนักงานราชเลขานุการลงวันที่ 31 ก.ค. มีข้อความบางส่วนระบุว่า สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มิได้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือเกี่ยวข้องกับข้อพิพาท หรือทรงเป็นผู้สร้างเรื่องข้อพิพาทขึ้นมา แต่ผลจากข้อพิพาทดังกล่าวนำมาซึ่งความเดือดร้อนพระราชหฤทัย และกระทบต่อพระราชกรณียกิจ และเสี่ยงต่อการเสื่อมเสียพระเกียรติยศ

 

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีพระราชกระแสและพระราชปณิธานที่จะตอบแทนพระคุณแผ่นดินไทยและทรงใช้หนี้บุญคุณให้กับประเทศชาติในพระราชฐานะที่ทรงเป็นประชาชนชาวไทยพระองค์หนึ่ง และทรงเป็นองค์สยามมกุฎราชกุมารของประเทศไทย อีกทั้งมิให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และเพื่อให้ข้อพิพาทดังกล่าวจบลงด้วยดีและรวดเร็ว จึงจะพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อนำไปใช้ในการระงับข้อพิพาทดังกล่าว ทั้งนี้ ไม่ทรงปรารถนาที่จะให้มีพระนามาภิไธยไปเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทและมิให้เป็นที่เสื่อมเสียต่อพระเกียรติยศ

 

ขณะที่นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ โดยยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดของการเข้าพบ

 

ด้านนายเจษฎา กตเวทิน รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ทางอัยการสูงสุดและทีมกฎหมายจะเข้ารับพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อนำไปใช้ในการระงับข้อพิพาท กรณีตามที่ศาลสูงสุดเยอรมนีได้ให้ดำเนินการอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ไว้เป็นของกลางในคดีพิพาทระหว่างบริษัทวอร์เทอร์ บาวและรัฐบาลไทย ซึ่งขั้นตอนจากนี้ ทางอัยการสูงสุดจะนำราชทรัพย์ส่วนพระองค์ไปวางเงินประกันกับศาล เพราะที่ผ่านมา เครื่องบินโบอิ้ง 737 ไม่ได้รับการซ่อมบำรุง ซึ่งหากวางเงินประกัน ก็สามารถไถ่ถอนออกมาได้ทันที

 

ส่วนคดีความนั้นยังคงมีการพิจารณาต่อ โดยกลางเดือน ส.ค.จะมีการสืบพยานเต็มรูปแบบ ซึ่งหากคำตัดสินระบุว่า เครื่องบินไม่ใช่ของรัฐบาล ก็จะมีการคืนเงินอายัด

 

สำหรับการอายัดเครื่องบินพระที่นั่งส่วนพระองค์จากกรณีพิพาทระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัทวอร์เทอร์ บาว ศาลเยอรมนีมีคำสั่งเมื่อวันที่ 20 ก.ค.54 ให้วางเงินประกันจำนวน 20 ล้านยูโร หรือประมาณ 860 ล้านบาทไทย จึงจะสั่งเพิกถอนอายัดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ได้