รมว.คมนาคมระบุว่า จท.จะต้องศึกษาผลดีผลเสียให้ครอบคลุมทุกประเด็นที่ เช่น ประเด็นทางสังคมและความมั่นคงของประเทศ เนื่องจากไทยสามารถใช้ท่าเรือปากบาราเป็นทางออกสู่ทะเลได้หากเกิดปัญหาในช่องแคบมะละกาในอนาคต และเบื้องต้นได้จัดสรรงบกลางปี 2558 จำนวน 50 ล้านบาท ให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) นำไปใช้ในการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment หรือ SEA) ให้แล้วเสร็จและนำกลับมาเสนอภาย ใน 11 เดือนหรือภายในวันที่ 30 เม.ย.2559
"รัฐบาลจะสร้างท่าเรือดังกล่าวแน่นอนแต่ขอให้เสนอโครงการเข้ามาใหม่ให้รอบคอบขึ้น ยืนยันว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ เพราะจะทำเป็นท่าเรือสีเขียว ส่งเสริมการขนส่ง ท่องเที่ยว และการขนส่งสินค้าเกษตร ยืนยันว่าจะไม่มีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในบริเวณดังกล่าวแน่นอน รวมทั้งท่าเรือดังกล่าวยังมีประโยชน์ช่วยลดระยะเวลาการขนส่งสินค้าทางเรือออกสู่ทะเลอันดามันของไทยโดยที่ไม่ต้องผ่านไปยังช่องแคบมะละกาซึ่งปัจจุบันพบว่ายังมีปัญหาการก่อการร้ายอยู่" พล.อ.อ.ประจิน กล่าว
นายจุฬากล่าวว่า การศึกษาเอสอีเอจะต้องครอบคลุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นพื้นที่บริเวณโดยรอบท่าเรือด้วย เช่น โครงการก่อสร้างเส้นทางรถไฟขนส่งสินค้าเข้ามามายังท่าเรือปากบารา ระยะทาง 80 กม. และเส้นทางรถไฟเชื้อจากท่าเรือสงขลาไปยังท่าเรือปากบารา (แลนด์บริดจ์) ระยะทางประมาณ 180 กม.
"โครงการนี้มีการศึกษามาตั้งแต่ปี 2538 ขณะที่การจัดทำผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้วเสร็จมาตั้งแต่ปี 2552แล้ว แต่มีประชาชนคัดค้านต่อเนื่อง ทำให้ไม่สามารถดำเนินโครงการได้แม้ว่าจะผ่านมา 20 ปีแล้ว เราเห็นว่าหากท่าเรือปากบาราไม่สามารถก่อสร้างได้ภายในรัฐบาลนี้ ก็ควรที่จะยกเลิกโครงการไปเลย เพราะจะไม่คุ้มค่ากับการลงทุน เนื่องจากค่าก่อสร้างจะเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก ที่กำหนดไว้ประมาณ 3 หมื่นล้านบาท" นายจุฬากล่าว