อิสรภาพที่จบลงหลังถูกควบคุมตัวทำให้ผู้ต้องหาในคดีลอบวางระเบิดห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี จ.ปัตตานีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สารภาพว่า ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานและประชุมวางแผนที่มัสยิดแห่งหนึ่ง ใน ต.ตุยง อ.หนองจิก พร้อมกับผู้ร่วมขบวนการ 5 คน เพื่อวางแผนในการก่อเหตุระเบิดห้างบิ๊กซี
ห่างออกมาประมาณ 300 เมตร พื้นที่มัสยิดอีกแห่งหนึ่ง ใน อ.หนองจิก ถูกใช้เป็นพื้นที่ก่อเหตุฆ่าและปล้นรถ โดยผู้ร่วมก่อเหตุรับสารภาพว่า ได้โทรศัพท์ไปล่อลวงให้นายนุสน ขจรคำ พ่อค้าเร่เดินทางมาติดตั้งผ้าใบ ก่อนจะร่วมกับพวกฆ่านายนุสน แล้วปล้นรถและได้โทรศัพท์ไปแจ้งให้ผู้ร่วมก่อเหตุมาล้างเลือดบริเวณด้านหลังมัสยิด แต่รอยเลือดที่ยังคงตกค้าง ก็ทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจพบและขยายผลจับกุมผู้ร่วมก่อเหตุ 2 คนในคดีนี้
หลังการฆ่าและปล้นรถเจ้าหน้าที่ได้ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ จากปากคำของผู้ก่อเหตุ โดยระบุว่า ได้จัดแบ่งกำลังเป็น 2 ชุด ชุดแรกได้นำศพของนายนุสนไปทิ้งในทุ่งนา ขณะที่แนวร่วมอีก 1 ชุดได้นำรถยนต์ของนายนุสนไปประกอบระเบิดที่บ้านร้างใกล้มัสยิด ก่อนจะนำไปก่อเหตุโดยมีผู้ร่วมขบวนการทั้งหมดกว่า 10 คน
การเลือกใช้ศาสนสถานในการก่อเหตุรุนแรงครั้งนี้ ทำให้พล.ท.ปิยะวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 เชื่อว่า ผู้ก่อเหตุต้องการให้เกิดเงื่อนไขหากเจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบจึงจำเป็นต้องขอความร่วมมือจากผู้นำศาสนาให้ช่วยป้องกันการนำศาสนสถานาใช้ในการก่อเหตุรุนแรง หรือซุกซ่อนอาวุธ
อย่างไรก็ตาม จำนวนของผู้บาดเจ็บจากเหตุระเบิดห้างบิ๊กซี ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นญาติของแนวร่วมที่ก่อเหตุระเบิดเสาไฟฟ้า เมื่อวันที่ 6 พ.ค.คนนี้ ระบุว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาตัดสินใจออกมามอบตัว เพราะเห็นว่า อุดมการณ์ที่เคยบ่มเพาะเปลี่ยนแปลงไปแล้วเพราะผู้ได้รับความเดือดร้อนคือคนมุสลิมในพื้นที่
เช่นเดียวกับผู้ต้องหาระดับสั่งการในคดีขว้างระเบิดใส่ฐานปฎิบัติการเจ้าหน้าที่กว่า 20 จุดเมื่อวันที่ 19 พ.ค.คนนี้ ระบุว่า เคยดูแลแนวร่วมกลุ่มบีอาร์เอ็นในพื้นที่มากกว่า 20 คน เพื่อเคลื่อนไหวก่อเหตุใน 4 ต.ของ อ.ยะรัง แต่เหตุรุนแรงที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ทำให้ความเชื่อที่ว่า การต่อสู้ของพวกเขากลับถูกบิดเบือนไป เนื่องจากเป้าหมายของการก่อเหตุทั้งเด็ก ผู้หญิง และประชาชนในพื้นที่