วันนี้ (17 ส.ค.2560) เฟซบุ๊ก Krisadang-Pawadee Nutcharus เผยแพร่ข้อความหลัง ศาลจังหวัดขอนแก่นพิพากษาจำคุกนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน แกนนำกลุ่มดาวดิน มหาวิทยาลัยขอนแก่น 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา แต่จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อคดี จึงลดโทษเหลือจำคุก 2 ปี 6 เดือน คดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ หลังนายจตุภัทร์แชร์ข้อความของสำนักข่าวต่างประเทศผ่านสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
การสารภาพของไผ่ ดาวดิน ในสายตาของผม
อันที่จริงไม่คิดจะพูดหรือเขียนเกี่ยวกับเรื่องคดีของไผ่อีกแล้ว เพราะเมื่อวานนี้(15 สค. 60) ศาลจังหวัดขอนแก่นได้พิพากษาจำคุกไผ่ไปแล้ว 2 ปี 6 เดือนแต่หลังจากที่ศาลตัดสินแล้ว มีผู้คนมากมายทั้งสื่อมวลชนไทยและเทศรวมทั้งญาติสนิทมิตรสหายถามไถ่ผมในฐานะที่เป็นทนายความ(คนหนึ่ง)ของไผ่ว่า “ทำไมไผ่มันรับสารภาพ” จึงเป็นเหตุให้ผมตัดสินใจพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง
ต้องบอกก่อนว่า ความคิดเห็นของผมในเรื่องนี้เป็นความคิดเห็นของผมเพียงคนเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับไผ่และครอบครัวของไผ่หรือทนายความคนอื่น ๆ ทั้งสิ้น และผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาโดยไม่ได้รับฉันทานุมัติจากใครเลย
ประการแรกในเรื่องนี้คือ “ผมรู้มาก่อนมั้ยว่าไผ่จะรับสารภาพไม่ต่อสู้คดีนี้”
ตอบได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “ไม่รู้” อธิบายความไว้อย่างนี้ว่า ข้อเสนอที่จะให้ไผ่รับสารภาพไม่ต่อสู้คดีนี้นั้นความจริงมันมีมาก่อนหน้านี้นานแล้วตั้งแต่ที่ไผ่ถูกจับใหม่ ๆ ทั้งจากผู้ปรารถนาดีจากญาติมิตรบางส่วนและแม้จากผู้มีอำนาจที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับไผ่
ผมและเพื่อนทนายความเองไม่เคยซักไซ้หรือเสนอความเห็นเรื่องนี้แต่อย่างใด เพราะไผ่ก็ไม่มีท่าทีกับเรื่องนี้เลย แถมดูท่าทางไม่สนใจเสียด้วยซ้ำ
จนกระทั่งเช้าวันที่ 15 สค. 60 ซึ่งมีนัดสืบพยานฝ่ายโจทก์ในคดีนี้ ก่อนเริ่มพิจารณาคดีผู้พิพากษาเจ้าของคดีได้เชิญผมกับทนายจำเลยคนอื่นไปถามที่หน้าบัลลังก์ของศาลว่า เรื่องนี้ทางฝ่ายจำเลยมีความเห็นอย่างไร หมายถึงยังยืนยันจะต่อสู้คดีหรือจะพิจารณาในทางอื่น (ซึ่งหมายความถึงการรับสารภาพ)
ผมจำได้ว่า ผมเรียนท่านผู้พิพากษาไปอย่างชัดเจนว่า ผมขอให้ไผ่และครอบครัวเป็นผู้ตัดสินใจดีกว่า แล้วในที่สุดผมก็ปล่อยให้ไผ่กับพ่อแม่อยู่ในห้องพิจารณาคดีที่ 8 กับผู้พิพากษาเพื่อใคร่ครวญเอง
ประมาณเกือบชั่วโมงพ่อกับแม่ของไผ่เดินออกมาจากห้องพิจารณาและขอให้ผมกับทนายแสงชัยเข้าไปคุยกับไผ่
ไผ่นั่งอยู่บนม้านั่งยาวในห้องพิจารณาคดีเพียงลำพัง เราสบตากันอยู่นาน ไผ่ยังคงทรนงองอาจอย่างที่เขาเคยเป็น
ผมพูดกับไผ่อยู่สามประโยคทั้งที่เขาไม่ได้ถามอะไร
ผมบอกเขาว่า ผมเชื่อว่าคุณไม่มีวันชนะในการตัดสินคดีนี้อย่างแน่นอน ส่วนการตัดสินใจใด ๆ ของคุณในวันนี้นอกจากเพื่อตัวเองแล้วคงต้องคิดเพื่อพ่อกับแม่ที่รักคุณสุดหัวใจด้วย และสุดท้ายอย่างหวังว่าการต่อสู้เพื่อความถูกต้องและเป็นธรรมจะได้รับชัยชนะได้ในเร็ววัน แต่ที่สำคัญกว่าคือประสบการณ์ความเจ็บปวดที่คุณได้รับเพื่อความถูกต้องและเป็นธรรมทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมาจะสอนให้คุณรู้คุณค่าของความถูกต้องเป็นธรรมที่คุณใฝ่ฝันหา
ไผ่มองหน้าเราสองคนและพยักหน้า
ผมเดินกลับไปหาผู้พิพากษาและบอกว่า จำเลยจะรับสารภาพ
คำถามสุดท้ายของผู้คนที่มีต่อผมคือ “ทำไม่ไผ่จึงรับสารภาพ”
ขอตอบว่า ผมไม่รู้และไม่อยากรู้
ผมเข้าใจว่าคำตอบมีอยู่ในสิ่งที่เกิดขึ้นในคดีนี้แล้วนับแต่วันที่ไผ่แชร์ข้อความจากบีบีซีไทยในเฟซบุ๊คของเขาจนกระทั่งถึงวันที่ศาลตัดสิน สิ่งที่ผมแถลงต่อสังคมไปถึงเหตุที่ไผ่รับสารภาพนั้นเป็นสิ่งที่ไผ่บอกกับผมในฐานะทนายความของเขาเพื่อแจ้งให้สังคมรับทราบ แต่สิ่งที่เราทั้งคู่เข้าใจดีคือ การถูกพิพากษาตัดสินว่าผิดในคดีนี้ก็เป็นเพียงไปตามที่ตัวบทกฎหมายของสังคมในวันนี้กำหนดไว้เท่านั้นความเป็นธรรมและความถูกต้องในหัวใจของเราเป็นอีกเรื่องหนึ่ง สิ่งที่เราได้รับในวันนี้ก็เป็นเพราะเราได้ทำมันในวันเวลาที่ผ่านมาและสิ่งที่เราจะได้รับในอนาคตก็จะได้จากสิ่งที่เราจะทำต่อไปจากวันนี้ต่างหาก