เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2560 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ อท.43/2558 ซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และพวก รวม 5 คน ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
โดยศาลพิจารณาคำอุทธรณ์ของจำเลยทุกประเด็น โดยเฉพาะเรื่องอำนาจการฟ้องของโจทก์ และการตอบข้อหารือของจำเลย กรณีทำหนังสือสอบถามกรมสรรพากร เห็นว่า ทุกประเด็นในคำอุทธรณ์นั้นฟังไม่ขึ้น และศาลเห็นพ้องกับศาลชั้นต้น กรณีคำสั่งลงโทษจำคุกจำเลย ในอัตราโทษ โดยไม่รอการลงโทษ ด้วยสภาพความผิดของจำเลย เป็นการกระทำโดยมิได้คำนึงถึงความเสียหาย และความน่าเชื่อถือในการจัดเก็บภาษีอากรของประเทศ รวมถึงพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง จึงมีคำสั่งหรือพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ทั้งนี้ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องจำเลยทั้ง 5 คน เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.2558 ด้วยพฤติการณ์สรุปว่า จำเลยที่ 1 ถึง 4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อไม่ให้นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ต้องเสียภาษีอากร หรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควร
จากกรณีการซื้อหุ้นชินคอร์ปฯ เมื่อปี 2549 คนละ 164,600,000 หุ้น ในราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาท ถือได้ว่านายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา เป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีของส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท ซึ่งทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และรัฐเกิดความเสียหาย
ขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ก.ค.2559 ตัดสินว่านางเบญจา และอดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย, อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย, ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย กรมสรรพากร จำเลยที่ 1 ถึง 4 มีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 83 ให้จำคุกคนละ 3 ปี
ส่วน น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยานายทักษิณ จำเลยที่ 5 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และ 86 มีโทษ 2 ใน 3 จึงให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี ต่อมาจำเลยทั้งหมดยื่นอุทธรณ์คดี และได้รับการประกันตัวในชั้นอุทธรณ์ คนละ 300,000 บาท และหลังมีคำพิพากษาในชั้นอุทธรณ์ มีรายงานว่า จำเลยทั้งหมดอยู่ระหว่างเตรียมที่จะยื่นคำร้องขอประกันตัวในชั้นฎีกา