วันนี้(6 ธ.ค.2560) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนเครือข่ายประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนจากทั่วประเทศ เช่น กรณีคัดค้านโครงการเหมืองทองคำจังหวัดเลย เหมืองโปแตส จ.อุดรธานี โรงไฟฟ้าชีวมวลและโรงน้ำตาล จ.อำนาจเจริญ เหมืองถ่านหิน จ.ลำปาง และโครงการโรงไฟฟ้า ถ่านหินเทพา จ.สงขลา และจังหวัดกระบี่ ทยอยเดินทางมาชุมนุมที่บริเวณสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ฝั่งตรงข้ามประตู 4 ทำเนียบรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง
โดยข้อเรียกร้องสำคัญของการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ ยังคงย้ำ และเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยุติกระบวนการพิจารณา และถอนร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ที่อยู่ในชั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช.ให้เริ่มต้นจัดทำร่างใหม่ เพราะเห็นว่าร่างกฎหมายดังกล่าวไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 77 คือขาดการมีส่วนร่วมในการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้เสียอย่างครอบคลุมตั้งแต่เริ่มกระบวนการ
และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญมาตรา 58 ในการปฏิรูปรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA และรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หรือ EHIA และยังมีการบรรจุเนื้อหาตามคำสั่งคสช.ที่ 9/2559 ออกโดยอาศัยมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญในเนื้อหาของหมวดประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
โดยในระหว่างการพิจารณา EHIA เจ้าของโครงการสามารถเปิดประมูลให้มีผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการได้เลย โดยไม่ต้องรอ EHIA ผ่าน นอกจากนี้ยังรวมไปถึงโครงการกิจการด้านพลังงานด้วย ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิต และความขัดแย้งในชุมชนมากขึ้น
นายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ ผู้ประสานงานกลุ่มนิเวศวัฒนธรรมศึกษา กล่าวว่า หลังจากที่ร่างกฎหมายเข้าสู่ชั้นกฤษฎีกา ได้รวมเอากิจการพลังงานเข้าไปด้วย ทั้งโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ โรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ซึ่งขณะนี้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือกฟผ. และเอกชน ที่กำลังประมูล รวมสัมปทานขุดเจาะสัมปทานปิโตรเลียม จะยกเว้นไม่ต้องให้อีไอเอผ่าน และหาผู้ประมูลไว้ได้เลย เป็นการทำลายหลักการ มีส่วนของประชาชนอย่างรุนแรง
กลุ่มเครือข่ายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ระบวุ่า จะปักหลักชุมนุมไปจนกว่า รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามข้อเรียกร้องในการยุติการพิจารณา และถอนร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณ ภาพสิ่งแวดล้อมฉบับดังกล่าว และเริ่มต้นกระบวนการร่างแก้ไขกฎหมายใหม่ ที่มีส่วนร่วมประชาชนทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง โดยมีเจ้าหน้าที่ ตำรวจควบคุมฝูงชนกว่า 2 กองร้อยวางกำลังดูแลความเรียบร้อยโดยรอบพื้นที่