วันนี้ (25 ม.ค.2561) นางอัจฉรารวดี วงศ์สกล หรือ อาจารย์อ้อย ประธานมูลนิธิโนอิ้ง บุดด้า เปิดใจกับไทยพีบีเอส ถึงพฤติกรรม คำสอน แนวปฎิบัติ และกรณีภาพพระสงฆ์ จังหวัดสุรินทร์ ยกมือไหว้ ที่กำลังเป็นกระแสวิพากษณ์วิจารณ์ในสื่อสังคมออนไลน์
นางอัจฉรารวดี ไม่แสดงความกังวลใดๆ กับภาพลบที่เกิดขึ้น เธออธิบายว่าภาพพระสงฆ์ยกมือไหว้ เพราะพระสงฆ์เคยเป็นศิษย์สมัยเป็นฆราวาส
“ขอให้มีโอกาสได้แถลงนิดนึง อาจารย์ไปเยี่ยมพระที่ จ.สุรินทร์ ซึ่งท่านก็เป็นศิษย์ของอาจารย์ ตั้งแต่เป็นฆราวาส เวลาที่อาจารย์พูดกับท่าน อาจารย์ก็ยกมือไหว้ หรือไม่เวลาอาจารย์เจอท่านอาจารย์ก็พนมมือไหว้ทุกครั้ง แต่พอจะกลับก็เป็นธรรมเนียม อาจารย์ยกมือไหว้ ท่านก็ให้พร พอให้พรเสร็จท่านก็ยังไม่เอามือลง เหมือนกับว่าเพราะอาจารย์ยังยกมือ ท่านก็เลยรับไหว้ สรุปก็คือท่านรับไหว้ ท่านรับไหว้เพราะว่าท่านเผลอ เพราะท่านเป็นฆราวาสมาก่อน หลังจากนั้นอาจารย์ก็บอกท่านว่า ท่านรับไหว้อาจารย์ไม่ได้ จากนั้นก็ไม่มีอีกเลย” นางอัจฉรารวดี กล่าว
แคมเปญเตือน ติง ต้าน พระทำเสื่อมของอัจฉราวดี ที่ลุกขึ้นมาเป็นตัวแทนฆราวาสแล้ววิพากษ์วิจารณ์พระสงฆ์ ว่า "พระค่อนประเทศมอมเมาประชาชน" ให้หยุดเข้าวัดที่พระประพฤติผิด ก็ถูกสังคมโต้กลับอย่างดุเดือดว่าเป็นการลดค่าพระพุทธศาสนา ทำให้อดีตลูกศิษย์และพระสงฆ์คู่ขัดแย้งเปิดหน้าชนกับแคมเปญดังกล่าว
"ฝั่งที่เขาโดนกระทบและเสียประโยชน์ตรงตัว ก็เอาต่างๆ มาบิดเบือนว่าอาจารย์ไม่ให้คนเข้าวัด ทั้งๆที่อาจารย์บอกว่า ไม่ให้เข้าวัดของอลัชชี อาจารย์ขอเรียนว่าผู้ที่จะลดคุณค่าของพระและวัดได้คือพระสงฆ์เอง ไม่ใช่อาจารย์ อาจารย์เป็นผู้ที่สะท้อนความจริงที่มันฝังรากลึกแห่งความมัวเมาและความเสื่อมมานาน แต่ไม่มีใครกล้าที่จะแตะ แต่อาจารย์ยอมที่จะแตะเพราะว่า ถ้าไม่แรงมันไม่ตื่นแล้ว ความสกปรกที่ฝังรากลึก ถ้าเรามานั่งตัดเล็มกิ่งไม้ ใบไม้ที่ละใบ มันไม่ได้แล้ว”
ตลอด12 ปีที่ผ่านมา นางอัจฉราวดี หรือ อดีตดีไซนเนอร์เครื่องเพชรชื่อดังของเมืองไทย ฝึกนั่งวิปัสสนาอย่างเข้มข้นร่วมหมื่นชั่วโมง ตั้งแต่ตัดสินใจละทางโลกเข้าสู่ทางธรรม แต่สิ่งที่เธออ้างว่าสามารถสื่อจิตกับสมเด็จพระพุฒาจารย์โตได้ ยังเป็นข้อกังขากับสัมคมว่าจริงหรือไม่
“เมื่อครั้งแรกที่อาจารย์รับกระแสที่พระอาจารย์สมเด็จมาสอนให้ปฏิบัติได้ อาจารย์ก็ไม่เชื่อนะ อาจารย์ไม่ใช่คนงมงาย อาจารย์พิสูจน์ทันที อาจารย์ก็ยังบอกว่า สมเด็จไหน สมเด็จโตหรือ ถ้าเช่นนั้น ถ้าสิ่งที่ท่านเข้ามาในจิตเป็นจริง เมื่อปฏิบัติแล้วต้องเกิดผลจริง แล้วมันก็เกิดผลจริงๆ เมื่ออาจารย์เพ่งดูกายก็เกิดธาตุไฟในกาย มันเผา มันเกิดความร้อนทั่วกาย ทั้งๆที่นั่งอยู่ในห้องแอร์ ก็เลยพิสูจน์ว่า อ๋อ ทุกอย่างมันต้องพิสูจน์นะ ไม่ใช่ปฏิเสธโดยเพียงได้ฟังแต่คำข้างนอก”
นางอัจฉราวดีละทางโลกเข้าสู่ทางธรรม ใช้เวลา 6 ปี ในการทุ่มเทให้กับการสอน "เตโชวิปัสสนา" รวมทั้งดูแลมูลนิธิโนอิ้้ง บุดด้า แม้เธอยืนยันว่าสิ่งที่ทำเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา แต่จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตั้งตนเป็นเจ้าลัทธิ เธอก็ยินดีให้สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติตรวจสอบ หากสิ่งที่ทำเป็นการสร้างความแตกแยกให้สังคมและศาสนาพุทธ
จิราพร คำภาพันธ์ ไทยพีบีเอส
อ่านข่าวเพิ่มเติ่ม
พศ. ตรวจสอบ “อัจฉราวดี" เตโชวิปัสสนา อ้างบรรลุธรรม