วันนี้ (7 มี.ค.2561) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลปกครองกลาง แผนกคดีสิ่งแวดล้อม มีคำสั่งเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครองในคดีหมายเลขดำที่ ส. 1/2555 ระหว่าง น.ส.บุญศรี แสงหยกตระการ ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน ผู้ฟ้องคดีกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ 1 ผู้อำนวยการเขตประเวศ ที่ 2 สำนักงานเขตประเวศ ที่ 3 กรุงเทพมหานคร ที่ 4 ผู้ถูกฟ้องคดีและนายสุกิจ นามวรกานต์ ที่ 1 กับพวกรวม 7 คน ผู้ร้องสอด
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีทั้ง 4 ฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีทั้ง 4 พักอาศัยอยู่ที่บ้านพักในหมู่บ้านเสรีวิลล่า แขวงหนองบอน เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร บ้านดังกล่าวปลูกสร้างอยู่บนที่ดินจัดสรรเพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ได้รับความเดือดร้อนรำคาญและเสียหายจากการก่อสร้างอาคารเพื่อประกอบกิจการตลาดรอบบ้านพักอาศัย ทำให้ได้รับผลกระทบจากมลภาวะทางอากาศ เสียงดัง กลิ่นเหม็นและน้ำเสียจากการทำตลาดผิดกฎหมายดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีทั้ง 4 ได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 แล้วแต่ไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไขปัญหา ผู้ฟ้องคดีทั้ง 4 จึงนำคดีมาฟ้องต่อศาล ขอให้เพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้างอาคารและควบคุมการประกอบ กิจการตลาดในบริเวณพื้นที่ที่พิพาททั้งหมด รวมทั้งขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 4
ศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณาและมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา ลงวันที่ 1 ส.ค.2556 ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และพระราชบัญญัติอื่นที่เกี่ยวข้องโดยมิให้ผู้ใดก่อเหตุเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 4 ที่เกิดจากการจัดตั้งตลาดในพื้นที่ที่เป็นมูลคดีพิพาทไว้ชั่วคราวก่อนการพิพากษา จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 4 ได้รับแจ้งคำสั่งศาลโดยชอบแล้วเมื่อวันที่ 5 ส.ค.2556
ในระหว่างการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล สำนักบังคับคดีปกครองได้มีบันทึกรายงาน ผลการปฏิบัติตามคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาแจ้งว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามคำสั่งศาล ศาลจึงมีคำสั่งเรียกคู่กรณีมาให้ถ้อยคำในการไต่สวนเมื่อวันที่ 2 มี.ค.2561 ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีการปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครอง ล่าช้าเกินสมควรหรือไม่ อย่างไร
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงจากการไต่สวนและคำชี้แจงของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เพียงพอที่จะรับฟังได้ว่า การปฏิบัติตามคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 เป็นการปฏิบัติล่าช้าเกินสมควรจริง แต่กรณีของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ข้อเท็จจริงจากการไต่สวนยังไม่เพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าเป็นการปฏิบัติล่าช้าที่เป็นไปโดยไม่มีเหตุอันสมควร ส่วนกรณีของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ตามพฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับการไต่สวนข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าเป็นการ ปฏิบัติตามคำสั่งศาลล่าช้าเกินสมควรโดยไม่มีเหตุอันสมควร
ศาลปกครองกลาง แผนกคดีสิ่งแวดล้อม จึงมีคำสั่ง ดังนี้
1.กำชับเตือนให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ปฏิบัติตามคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา ลงวันที่ 1 ส.ค.2556 อย่างเคร่งครัด ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ.2535 และพระราชบัญญัติอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยมิให้ผู้ใดก่อเหตุเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 4 ที่เกิดจากการจัดตั้งตลาดในพื้นที่ที่เป็นมูลคดีพิพาทไว้ชั่วคราว ก่อนการพิพากษา จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น อนึ่ง หากปรากฏข้อเท็จจริงต่อศาลว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มิได้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครองให้ถูกต้องครบถ้วน หรือปฏิบัติล่าช้า เกินสมควร ศาลอาจมีคำสั่งไต่สวนเพื่อพิจารณาและมีคำสั่งตามมาตรา 75/4 วรรค 1 และวรรค 4 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2559 อีกต่อไป
2.ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ชำระค่าปรับต่อศาลปกครองเป็นเงินจำนวน 5,000 บาท โดยให้ชำระภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งศาล หากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับ ศาลอาจมีคำสั่งให้มี การบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ทั้งนี้ ตามมาตรา 75/4 วรรค 1 วรรค 3 และวรรค 4 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
3.ให้สำนักบังคับคดีปกครอง สำนักงานศาลปกครอง ใช้อำนาจหน้าที่ในการติดตามผล การดำเนินการให้เป็นไปตามคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา ลงวันที่ 1 ส.ค.2556 ของศาล และรายงานให้ศาลทราบ