วันนี้ (8 เม.ย.2561) นายอนุรักษ์ ทศรัตน์ อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า เดือนมี.ค.ที่ผ่านมา มีการระงับการเดินทางของคนที่มีพฤติการณ์ลักลอบไปทำงานในต่างประเทศ จำนวน 159 คน โดยส่วนใหญ่ลักลอบไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้มากที่สุด 116 คน เป็นชาย 58 คน และหญิง 58 คน รองลงมาเป็นบาห์เรน คาซัคสถาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และสาธารณรัฐเช็ก
สำหรับบุคคลกลุ่มนี้ถูกหลอกหรือชักชวนจากกลุ่มมิจฉาชีพผ่านทางสื่อออนไลน์ เช่น เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไลน์ หรือการชักชวนจากเพื่อนในหมู่บ้านเดียวกันที่เคยหลบหนีมาก่อน ซึ่งได้บอกเล่าถึงรายได้ที่สูง สวัสดิการที่ดี เช่น งานเกษตร งานในโรงงานอุตสาหกรรม งานนวดสปา งานบริการ จนทำให้หลงเชื่อ
โดยกลุ่มคนเหล่านี้จะใช้วีซ่าท่องเที่ยวในการเดินทางไปทำงาน และเมื่อไปถึงแล้วกลับไม่มีงานให้ทำ หรือไม่เป็นไปตามที่ได้รับการบอกเล่ามา แล้วต้องอยู่อย่างหลบซ่อนและลำบาก ไม่กล้าแจ้งทางการเพราะอยู่อย่างผิดกฎหมาย บางคนถูกจับกุมหรือเจ็บป่วยจนเสียชีวิต
อธิบดีกรมการจัดหางาน ระบุว่า การไปทำงานต่างประเทศจะต้องไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีใบอนุญาตทำงาน มีสัญญาจ้างที่ผ่านการรับรองสัญญาจ้างจากหน่วยงานภาครัฐของทั้งสองประเทศ ซึ่งต้องตรวจสอบสัญญาจ้างงาน รวมทั้งศึกษาข้อมูลพื้นฐาน เช่น กฎหมาย ระเบียบ ประเพณีของประเทศปลายทางอย่างรอบคอบ ใช้วีซ่าท่องเที่ยวในการทำงานไม่ได้ โดยสามารถตรวจสอบข้อมูลหรือแจ้งเรื่องร้องทุกข์ได้ที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน หรือติดต่อที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506
ทั้งนี้ มีคนงานไทยเดินทางไปทำงานและฝึกงานในต่างประเทศ โดยผ่านด่านตรวจคนหางานสุวรรณภูมิ จำนวน 7,120 คน ไปทำงานที่ประเทศไต้หวันมากที่สุด 3,316 คน รองลงมาคืออิสราเอล 735 คน เกาหลีใต้ 606 คน และญี่ปุ่น 370 คน