ไทยพีบีเอสออนไลน์ ตรวจสอบเส้นทางการลักลอบนำของเสียอันตราย โดยเฉพาะขยะอิเล็กทรอนิกส์ นำเข้าประเทศไทยได้อย่างถูกกฎหมาย หลังจาก พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยกำลังทหาร เจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยต่างๆ ปฏิบัติภารกิจทลายโรงงานกำจัดขยะของบริษัทดับบลิว เอ็ม ดี ไทย รีไซคลิ้ง จำกัด จ.ฉะเชิงเทรา ที่พบว่าเป็นนายทุนต่างสัญชาติจีน โดยรับซื้อขยะจากทั่วโลก
ขยะอิเล็กทรอนิกส์ เริ่มทยอยเข้ามาประเทศไทยเพิ่มขึ้นช่วงปี 2560 ทั้งที่ก่อนหน้านี้ขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกส่งมาจากยุโรปและอเมริกาจะถูกส่งไปยังประเทศจีน แต่หลังปี 2560 ประเทศจีน ปิดกั้นการนำเขาขยะอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้ขยะจำนวนมากถูกส่งไปยังประเทศที่ 3 รวมถึงประเทศไทย โดยขยะเหล่านี้ต้นทุนต่ำ เฉลี่ยตันละ 30,000 บาท มีข้อมูลว่ามีขยะไฮเทคเข้ามาในไทยพื้นที่จ.ฉะเชิงเทรา กว่า 100,000 ตัน
ภาพ : สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ช่องโหว่ กม.ไทยเปิดเสรีนำเข้าขยะพิษ
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ วิเคราะห์ว่าปัญหาขยะอุตสาหกรรม การนำเข้าขยะพิษ โดยเฉพาะขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาไนไทยได้ง่าย เกิดจากช่องโหว่ของกฎหมายไทย การบังคับใช้กฎหมาย บทลงโทษ และการปลดเงื่อนไขของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ให้เอื้อต่อการเปิดเสรีการค้าให้นายทุนไทยและต่างประเทศ
จากการตรวจสอบพบว่ากฎหมายไทย อ้าแขนรับขยะไฮเทค ขยะพิษ ที่ชัดเจนคือกรณีทำข้อตกลงเสรีค้ากับญี่ปุ่นเมื่อ 10 ปีก่อน ในสัญญาในไทย-ญี่ปุ่น จะมีข้อตกลงนำเข้าขยะ 100 รายการอยู่ในภาคผนวก ต้องไม่มีกำแพงการค้า เช่น ภาษีนำเข้า ส่งออก จากเดิมถ้าจะนำขยะจากญี่ปุ่นจะต้องเสียภาษีแพงมาก และการตรวจสอบหน้าด่านศุลกากร ตรวจตู้คอนเทนเนอร์ที่ทุกอย่างตอนนี้การตรวจสอบ หมดไปเหลือสุ่มตรวจเพียงแค่ร้อยละ 10
ในปี 2545 กรมโรงงานได้อนุญาตให้มีโรงงานใหม่ 2 ประเภทคือประเภท 105 ให้เป็นอุตสาหกรรมในการคัดแยกขยะอุตสาหกรรม และประเภท 106 การแปรรูปของเสียหรือโรงงานรีไซเคิล และจากนั้นส่งเสริมให้จัดตั้งโรงงานเพิ่มขึ้น ด้วยการแก้ไขกฎกระทรวงและประกาศหลายฉบับ การบังคับใช้ปี 2558 ประกาศยกเว้นสินค้าในบัญชีข้อ 5.6 ไม่ต้องปฏิบัติตามพรบ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535 เช่น ผู้ประกอบการไม่ต้องติดฉลาก หรือไม่ต้องรายงานต่อกรม
เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ
ผอ.มูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวว่า ขณะที่ช่องโหว่จากอนุสัญญาบาเซลว่าด้วยการควบคุมการเคลื่อนย้ายขยะมีพิษข้ามพรมแดนและการกำจัดขยะพิษ ซึ่งไทยเข้าเป็นรัฐภาคีเมื่อ ก.พ.2541 เนื่องจากขยะเหล่านี้มีมูลค่าสูง ทำให้เกิดการล็อบบี้ขึ้น แนวทางของอนุสัญญาบาเซล คือให้มียกเว้นในการบังคับใช้ หากรัฐบาล 2 ประเทศ และหน่วยงานกำกับอนุมัติก็จะนำขยะอิเล็กทรอกนิกส์ ขยะของเสียอันตรายที่อยู่ภายใต้อนุสัญญาฯ นำเข้ามาได้กำจัดในประเทศปลายทางได้ เช่น จีน อนุมัติให้ส่งขยะพิษจากจีนเข้ามาแปรรูปในไทย
เป็นคำถามที่เราอยากถามรัฐบาล อยากถามกรมโรงงานอุตสาหกรรมว่าการส่งเสริมโดยไม่มีการควบคุมอย่างเคร่งครัด ประเทศไทยได้อะไร ส่วนตัวถือว่าได้น้อยมาก ถ้าแลกกับทรัพยากรดินที่มีคุณค่าต่อการผลิตอาหาร ถ้าสูญเสียไปสิ่งเหล่านี้เรียกกลับคืนมาไม่ได้ และไม่คุ้มกับสุขภาพประชาชน
แผนที่เสี่ยงลักลอบทิ้งขยะพิษในไทย
ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวว่า จากการศึกษาพบว่าเส้นทางการนำเข้าของเสียอันตราย ขยะอิเล็กทรอนิกส์ ปกติจะเข้าทางท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรี จากท่าเรือ ผ่านด่านศุลกากร ส่งสินค้าใส่รถบรรทุก เข้ามาพื้นที่โรงงานที่มักจะตั้งในแถบจังหวัดภาคตะวันออก ทั้งระยอง ชลบุรี ฉะเชิงเทรา เช่นโรงงานจีน รายล่าสุดที่ถูกตรวจสอบ แม้ว่าจะตั้งโรงงานเถื่อน และสำแดงของนำเข้าเป็นเท็จ แต่เป็นผลของกฎหมายโดยตรง และเรื่องนี้อาจจะมีการทุจริต และแบ่งผลประโยชน์ในกุล่มข้าราชการ นักการเมือง นักธุรกิจ ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างให้ทุนจีนมาลงทุนและความเสียหายระยะยาวกับสิ่งแวดล้อมของไทย
เพ็ญโฉม บอกว่า หนึ่งในบ่งชี้คือ โรงงานประกอบกิจการของโรงงานที่รับบำบัด กำจัด และรีไซเคิลกากอุตสาหกรรม โรงงานที่ให้บริการจัดการกากอุตสาหกรรมประกอบด้วยโรงงานที่ขึ้นทะเบียนเป็นโรงงาน ลำดับประเภท 101 105 และ 106 ในปี 2559 ประเทศไทยมีโรงงานรับบำบัดและกำจัดของเสีย จำนวน 1,962 แห่ง เป็นโรงงานประเภท 101 จำนวน 143 แห่ง โรงงานประเภท 105 จำนวน 1,276 แห่ง และโรงงานประเภทที่ 106 จำนวน 543 แห่ง ซึ่งแม้จะเป็นปัจจัยให้สถิติการพบลักลอบทิ้งขยะพิษลดลงตามมาในช่วง 1-2 ปี แต่สวนทางกับปริมาณขยะอันตรายที่ถูกนำเข้ามา
ขณะที่ภาพรวมจากกระทรวงอุตสาหกรรมในปี 2559 ระบุว่า ประเทศไทยมีโรงงานทั้งสิ้น
138,083 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยโรงงานจำพวกที่ 3 ที่ต้องมีใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4)
ทั่วประเทศ 77,738 แห่ง
ภาพ : มูลนิธิบูรณะนิเวศ
สอดคล้องกับข้อมูลของกรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่พบว่าขยะอิเล้กทรอนิกส์ทั่วโลกกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ละปีมากถึง 20-50 ล้านตัน และในจำนวนนี้อยู่ในแถบประเทศเอเชียราว 12 ล้านตันต่อไป สาเหตุที่ขยะไฮเทคเพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว เพราะผู้บริโภคเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ อุปกรณ์เครื่องเสียง รวมถึงพรินเตอร์ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนามีการประเมินว่าการผลิตขยะอิเล้กทรอนิกส์อาจเพิ่มสูงอีก 3 เท่าภายใน 5 ปีข้างหน้า
ขณะที่มูลนิธิบูรณะนิเวศ ได้สรุปแผนที่ลักลอบทิ้งของเสียในช่วงเดือนพ.ค.-ส.ค.2558 โดยพบมี 14 ครั้งใน 11 จังหวัด คือ สมุทรสาคร ชลบุรี ระนอง นครศรีธรรมราช จันทบุรี ตรัง สุโขทัย ราชบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ปทุมธานี และขอนแก่น โดยส่วนใหญ่เป็นการลักลอบทิ้งกากอุตสาหกรรมในชุมชน แอบลักลอบเผาขยะอุตสาหกรรมในกองขยะชุมชน และการทิ้งน้ำเสียอันตราย
อ่านข่าวเพิ่มเติม
ผวามะเร็ง ! ควันพิษเตาหลอมตะกั่ว โรงงานกำจัดขยะเถื่อน
จ่อฟ้องแพ่ง "ค่าเสียหายสิ่งแวดล้อม" ขยะจีนซุกไทย 1 แสนตัน
5 ปี ขยะสารอันตรายพุ่ง 4 เท่า ทะลุ 16 ล้านตัน