เมื่อวานนี้ (6 มิ.ย.2561) พล.ต.ต.กมล เหรียญราชา ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสือ หรือสำนวนเรื่องดังกล่าวจากทาง ป.ป.ช. ซึ่งแนวทางหลังจากที่ได้รับสำนวนกลับมาแล้ว จะต้องดำเนินการตามขั้นตอน ป.วิอาญา เรื่องที่ต้องตรวจสอบให้แน่ชัด คือเรื่องการกันตำรวจชั้นผู้น้อยเป็นพยาน หากทำตามขั้นตอนของตำรวจ จะต้องทำความเห็นส่งสำนวนเฉพาะคนถูกกันให้อัยการมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง เพื่อจะกันเป็นพยานได้ แต่ถ้าทาง ป.ป.ช.ได้ทำเรื่องกันเป็นพยานโดยแจ้งต่อผู้บังคับบัญชาของ ป.ป.ช.แล้ว อาจจะไม่จำเป็นต้องดำเนินการดังกล่าว เพราะถือว่าผ่านการไตร่ตรองของหน่วยงานราชการแล้ว ทั้งนี้ ต้องรอดูสำนวนที่จะส่งกลับมาก่อน เพื่อจะได้มีแนวทางดำเนินงานที่ชัดเจนต่อไป อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการเรียกมาสอบปากคำเพิ่มเติม เห็นว่าสำนวนน่าจะครบถ้วนพร้อมมูลหมดแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเรียกมาสอบอีก
ขณะที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ให้ความเห็นภายหลังคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติตีกลับสำนวนคดีที่กล่าวหา พล.ต.ต.สุทธิ ผบก.ภ.จว.กาญจนบุรี ปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในการแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำให้การในสำนวนคดีสลาก 30 ล้านบาท ให้ บก.ปปป. ส่วนขั้นตอนต่อไป บก.ปปป.สามารถส่งสำนวนคดีปฏิบัติหน้าที่มิชอบของ พล.ต.ต.สุทธิ และสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่มิชอบของนายปรีชา หรือครูปรีชา และนางรัตนาพร สุภาทิพย์ หรือเจ๊บ้าบิ่น ให้อัยการ เพื่อฟ้องคดีที่ศาลอาญาทุจริตได้เลย โดยคดีจะเร็วขึ้นมาก แล้วรอลุ้นคดีแจ้งความเท็จ ให้การเท็จ แกล้งให้ผู้อื่นรับโทษทางอาญา
ด้านนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า เมื่อคดีหลัก ป.ป.ช.มีมติให้คืนสำนวนสอบสวนแล้ว ดังนั้น สำนวนสอบสวนจะต้องคืนมาทั้งหมด รวมทั้งสำนวนที่พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ได้กล่าวหานายปรีชากับพวก ที่ถูกส่งไปยัง ป.ป.ช.ด้วย และเมื่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม รับสำนวนนายปรีชากลับมาแล้ว จะต้องดูว่าสำนวนการสอบสวนนั้นมีความสมบูรณ์หรือไม่ ถ้าพบว่าพยานหลักฐานสมบูรณ์แล้ว จะสรุปสำนวนพร้อมความเห็นส่งให้อัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต ภาค 7 พิจารณาเนื่องจากเหตุเกิดที่ จ.กาญจนบุรี เพื่อส่งฟ้องคดีต่อไปยังศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 7 ต่อไป
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนที่ดูสำนวน พล.ต.ต.สุทธิ นั้น จะเป็นกองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ส่วนสำนวนนายปรีชา จะเป็นพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม ซึ่งสุดท้ายแล้วหน่วยงานใดจะเป็นผู้รวมสำนวนทั้งหมดส่งให้อัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต ภาค 7 ต้องขึ้นอยู่กับกองบัญชาการกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางพิจารณา