ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

"ปู่คออี้" แห่งป่าแก่งกระจาน ได้สัญชาติไทยในวัย 107 ปี

สังคม
27 ก.ค. 61
18:26
2,906
Logo Thai PBS
"ปู่คออี้" แห่งป่าแก่งกระจาน ได้สัญชาติไทยในวัย 107 ปี
กสม.เตรียมเป็นพยานในการถ่ายรูปบัตรประชาชนของ "ปู่คออี้" อายุ 107 ปี ผู้อาวุโสกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอญอแห่งผืนป่าแก่งกระจาน วันที่ 31 ก.ค.นี้ หลังเพิ่งได้รับสัญชาติไทย

วันนี้ (27 ก.ค.2561) นางเตือนใจ ดีเทศน์ กล่าวว่า กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จะเดินทางไปร่วมในการถ่ายภาพติดบัตรประจำตัวประชาชนของ นายคออี้ มีมิ หรือ ปู่คออี้ อายุ 107 ปี ผู้อาวุโสกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอญอแห่งผืนป่าแก่งกระจาน ในวันที่ 31 ก.ค.นี้ เวลา 09.00 น. ณ ที่ว่าการอำเภอแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี

นางเตือนใจ ยืนยันว่า ปู่คออี้ ได้สัญชาติไทยเลข 13 หลักตั้งแต่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา หลังจากการต่อสู้มานาน 10 ปี และมีการนำหลักฐานเอกสารทะเบียนสำรวจบุคคลในบ้านสำหรับชาวเขา (ทร.ชข.) ที่มีชื่อปู่คออี้ ถูกขึ้นทะเบียนไว้โดยศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขากาญจนบุรี ตั้งแต่ปี 2528 และมีพยานบุคคลที่อายุ 81 ปี มาเป็นพยานในการรับรองว่าปู่คออี้ เกิดในประเทศไทย

 

ส่วนตัวรู้สึกดีใจ เพราะปู่คือสัญลักษณ์ ปราชญ์แห่งเทือกเขาตะนาวศรี และเป็นกลุ่มชาติพันธุ์คนแรกที่จะได้สัญชาติไทยอย่างสมบูรณ์ในช่วงอายุถึง 107 ปี และเป็นคนบ้านบางกลอยบน

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากปู่คออี้ ผู้อาวุโสกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอญอแห่งผืนป่าแก่งกระจาน ได้ให้ทนายยื่นคำร้องขอสัญชาติไทยและบัตรประจำตัวประชาชน โดยนายทะเบียนอำเภอแก่งกระจานสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องและรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อประกอบการพิจารณาตามระเบียบข้อกฎหมายและได้พิจารณาให้สัญชาติไทยแก่ปู่คออี้แล้ว

 

ภาพ:คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)

ภาพ:คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)

ภาพ:คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)

 

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา กสม.โดยนางเตือนใจ ได้เผยแพร่ข่าวกับสื่อมวลชนยืนยันมีหลักฐานปู่คออี้เกิดในแผ่นดินไทยไม่ใช่เมียนมา สืบเนื่องจากกรณีที่ปรากฏข่าวในรายงานของสื่อมวลชนบางสำนักระบุว่า “...ล่าสุด เจ้าหน้าที่มีหลักฐานชัดเจน จากกรณีที่นางเตือนใจ ดีเทศน์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้เดินทางไปเยี่ยม คออี้ที่บ้านบางกลอย ในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานเพื่อติดตามความคืบหน้า โดยคออี้ได้เล่าให้นางเตือนใจฟังว่า ตนเองนั้นเกิดที่ต้นแม่น้ำภาชี ใกล้ๆ กับบ้านพุระกำ จ.ราชบุรี ซึ่งไม่ใช่เกิดในประเทศไทย ซึ่งขัดแย้งกับข้อมูลที่มีการให้ข่าวตลอดมาว่า คออี้เกิดที่ใจแผ่นดินและอาศัยอยู่มานานนับร้อยปี...”


ย้อนอดีตปู่คออี้ เกิดที่บ้านใจแผ่นดิน

นางเตือนใจ กล่าวว่า ถ้อยคำที่ปู่คออี้บอกเล่ากับตนในคลิปดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลที่ไม่ได้แตกต่างหรือขัดแย้งไปจากรายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนของ กสม. หรือเป็นที่รับทราบโดยทั่วไปก่อนหน้านี้แต่อย่างใด เนื่องจากพื้นที่ที่เรียกว่าบ้านใจแผ่นดินอยู่ในเขต จ.เพชรบุรี ซึ่งไม่ไกลจากบ้านพุระกำ จ.ราชบุรี มีแนวสันเขาต้นน้ำลำภาชีแบ่งเขตกั้น ที่สำคัญพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตประเทศไทยไม่ใช่เมียนมาตามที่มีการระบุในรายงานข่าวแต่อย่างใด

 

ภาพ:คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)

ภาพ:คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)

ภาพ:คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)

 

ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับหลักฐานเอกสารทะเบียนสำรวจบุคคลในบ้านสำหรับชาวเขา (ทร.ชข.) ซึ่งสำรวจโดยกรมประชาสงเคราะห์ ระบุชัดเจนว่า ปู่คออี้เกิดเมื่อปี 2454 ที่ จ.เพชรบุรี บิดาชื่อนายมิมิ และมารดาชื่อนางพีนอคี นอกจากนั้นยังมีหลักฐานภาพถ่ายที่ปรากฏว่าปู่คออี้ และกะเหรี่ยงใจบ้านแผ่นดินเดินทางไปหากำนันตำบลสวนผึ้ง เพื่อนำของป่าไปขายยังตัวเมือง จ.เพชรบุรี

 

ภาพ:คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)

ภาพ:คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)

ภาพ:คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.)

 

นอกจากนี้ การสร้างข่าวว่าปู่คออี้ไม่ได้เกิดในประเทศไทย อาจเป็นความพยายามในการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อประโยชน์ในทางคดี ทำให้ศาลและประชาชนทั่วไทยเข้าใจว่า ปู่คออี้เป็นคนเมียนมาที่เข้ามาบุกรุกอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ไม่ใช่ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม

มีข้อสังเกตว่า ตนลงพื้นที่ไปเยี่ยมปู่คออี้ที่บ้านบางกลอยตั้งแต่วันที่ 25 มี.ค.2561 แต่เพิ่งมีการนำคลิปดังกล่าวออกมาเผยแพร่ ภายหลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษากรณีการเผาบ้านกะเหรี่ยงแก่งกระจานเมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยให้กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ต้องจ่ายค่าเสียหายให้แก่ปู่คออี้และพวกรวม 6 คน จะมีเจตนาแอบแฝงเรื่องอื่นหรือไม่ ทั้งนี้ ตนเองจะทำหนังสือเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกต้องถึงกองบรรณาธิการของสำนักข่าวที่ได้เสนอข่าวในเรื่องดังกล่าว และเรียกร้องให้สื่อมวลชนตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องและมีความรอบคอบก่อนนำเสนอข่าว

 

อ่านข่าวเพิ่มเติม

ศาลสั่งกรมอุทยาน ชดใช้ค่าสินไหมเผาบ้านกะเหรี่ยงคนละ 5 หมื่น 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง