ย้อนเหตุการณ์ "ออฟโรด" เข้าป่าล่าหมี
เมื่อวันที่ 6 ต.ค.61 เวลา 20.00 น. เจ้าหน้าที่รายงานว่ามีกลุ่มออฟโรดลักลอบเข้าไปในพื้นที่ โดยแอบอ้างว่าได้รับอนุญาตจากหัวหน้าอุทยานแห่งชาติไทรโยค แต่ตัวเองไม่เคยอนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปในบริเวณนั้น เนื่องจากเป็นพื้นที่ป่าสมบูรณ์และมีสัตว์ป่าค่อนข้างมาก จึงประสานเจ้าหน้าที่ทั้งหมด พร้อมจัดกำลังส่วนหนึ่งเฝ้าบริเวณทางออกและจัดกำลังอีกส่วนหนึ่งเข้าไปในป่าช่วงเช้าของวันที่ 7 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเส้นทางมีลักษณะเป็นทางลูกรังสำหรับเจ้าหน้าที่เข้าไปปฏิบัติงาน ไม่ใช่ทางที่ใช้สัญจรปกติ
เจ้าหน้าที่เดินทางเข้าไปลึกพอสมควร ก่อนถึงแนวเขตอุทยานก็พบคณะดังกล่าวกำลังสวนออกมา จึงแสดงตัวและขอตรวจค้น ระหว่างนั้นมีชายคนหนึ่งแสดงตัวว่าเป็นปลัดอำเภอ
ชายคนหนึ่งแสดงตัวว่าเป็นปลัดอำเภอ ผมก็โอเค ปลัดอำเภอก็ปลัดอำเภอ ผมก็นำเรียนว่าสาเหตุที่ตรวจค้นเพราะอะไร มีสายข่าวแจ้งว่ามีการลักลอบเข้ามาในพื้นที่
เจ้าหน้าที่ตรวจค้นรถยนต์ทีละคันจากทั้งหมด 6 คัน เมื่อตรวจค้นถึงคันที่ 5 พบซากอุ้งตีนหมีขอในถังน้ำแข็งด้านหลังรถและอาวุธปืนภายในรถยนต์ จึงเชิญทั้งหมดมาที่ที่ทำการอุทยานฯ เพื่อตรวจค้นโดยละเอียด เมื่อมาถึงจึงทำการตรวจค้นและบันทึก
"ปลัดอำเภอ" ไม่ยอมให้ค้นตัว
นายพนัชกร เล่าว่า เมื่อถึงที่ทำการอุทยานฯ เจ้าหน้าที่ได้ทำบันทึกการตรวจค้น และค้นตัวผู้ที่ถูกจับกุมทั้งหมด แต่ปลัดอำเภอด่านมะขามเตี้ยอาจมีความวิตกกังวลและไม่ยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตรวจค้นตัว จึงประสานตำรวจและทหารเข้าตรวจค้น โดยเจ้าหน้าที่ได้กลิ่นสุราจากปลัดอำเภอและคนขับรถที่พบซากหมีขอ จึงคาดว่าร่วมกันดื่มสุราเมื่อคืนที่มา และนำซากสัตว์ป่าไปประกอบอาหาร เบื้องต้นแจ้งข้อกล่าวหาคณะดังกล่าว 11 คน เป็นชาย 9 คนและหญิง 2 คน ส่วนเด็กและเยาวชน 4 คนเชื่อว่าไม่เกี่ยวข้องด้วย
เข้ามาลึกอย่างนี้ ลักลอบเข้ามา นำสุรา อาวุธปืนเข้ามา ส่วนมากเป็นการลักลอบล่าสัตว์
มั่นใจเจตนาล่า 100%
ส่วนกรณีที่คณะอ้างว่าเข้าไปทำบุญที่สำนักสงฆ์เต่าดำ ห่างจากชายแดนเมียนมา 2 กิโลเมตร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติไทรโยค ยืนยันว่าสำนักสงฆ์มีอยู่จริงและได้เข้าโครงการพุทธอุทยานที่จะให้ศาสนากับป่าอยู่ร่วมกันได้ ใช้เวลาเดินทางจากหน่วยไปยังสำนักสงฆ์ประมาณชั่วโมงกว่า ไม่ใช่ทางสัญจรทั่วไป เป็นทางที่เจ้าหน้าที่ต้องเข้าไปปฏิบัติงาน
ตอนแรกคนขับรถเขาก็ไม่ยอมรับว่าเป็นคนล่า บอกว่ามีคนนำมาขาย แต่ความจริงแล้วข้างในเป็นป่า มีแต่พระและเจ้าหน้าที่อุทยาน
ข้ออ้างว่ามีคนนำซากสัตว์ป่ามาขายนั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะพื้นที่จากหน่วยงานเข้าไปในป่า ระยะทาง 10 กิโลเมตร ไม่มีชุมชนอาศัยอยู่ อีกทั้งการเดินทางยากลำบาก แต่เดิมเป็นเหมืองเก่าและมีชุมชนใหญ่ ซึ่งชาวบ้านย้ายออกมาจากพื้นที่หลังสิ้นสุดสัมปทานเหมืองแร่ ส่วนพฤติกรรมของพรานนั้น เมื่อพบคนแปลกหน้า หรือรถยนต์ จะไม่เดินเข้ามาหาอยู่แล้ว เพราะกังวลว่าอาจจะเป็นเจ้าหน้าที่
เราเชื่อ 100% ว่าเขาล่า ไม่มีสักเปอร์เซ็นต์ที่จะเชื่อว่าเขาไปซื้อมา ข้างในไม่มีคนอยู่อาศัยแล้วเขาจะไปซื้อจากใคร
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ลาดตระเวนเชิงคุณภาพ พบว่าปัจจุบันป่าฟื้นฟูแล้วและพบร่องรอยสัตว์ป่าสำคัญหลายชนิด เช่น เก้ง กวาง กระทิง เสือ ส่วนหมีขอเป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวช้าอาจถูกล่าได้ง่าย
หมีขอค่อนข้างเชื่อง เป็นสัตว์เคลื่อนไหวช้า ถ้าคนที่มีรสนิยมแปลกๆ อาจมองว่าเขาล่าง่าย