วันนี้ (9 ก.ค.2562) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองแถลงข่าวจับกุมนายคาซึฮิโกะ ยามาซากิ อายุ 62 ปี สัญชาติญี่ปุ่น สมาชิกแก๊งยากูซ่าในประเทศญี่ปุ่น หลังจากก่อเหตุลอบวางเพลิงแล้วหลบหนีมากบดานในประเทศไทย โดยตำรวจตรวจคนเข้าเมืองใช้การปูพรมระดมกำลังค้นหา กระทั่งไปจับกุมตัวได้ที่บริเวณห้างดิโอลด์สยาม เขตพระนคร
พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง รักษาราชการแทนผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เปิดเผยว่า นายคาซึฮิโกะ เป็นสมาชิกระดับกลางของแก๊งอินากาว่า มีประวัติก่อเหตุในประเทศญี่ปุ่น 12 คดี เช่น ทำร้ายร่างกาย ข่มขืน และคดีล่าสุดไปวางเพลิงเผาบ้านคู่อริ ก่อนหลบหนีเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ที่ผ่านมาผู้ต้องหาเข้า-ออกประเทศไทยมาแล้ว 13 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในวีซ่านักท่องเที่ยว ซึ่งทุกครั้งเมื่อมาแล้วจะหาเหยื่อเป็นนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นที่ประกอบอาชีพสุจริตในไทยเพื่อข่มขู่เรียกเอาเงิน หากปฏิเสธจะกลับไปเผาบ้านผู้เสียหายที่ญี่ปุ่น
สำหรับผู้ต้องหารายนี้เนื่องจากเป็นการขออนุญาตเข้ามาในไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หลังจากนี้ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองก็จะเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในประเทศไทย ก่อนจะนำตัวไปควบคุมไว้เพื่อรอส่งกลับไปดำเนินคดีที่ประเทศญี่ปุ่นต่อไป ทั้งนี้ มีข้อมูลว่าแก๊งอินากาว่า เป็นแก๊งยากูซ่าที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่มีพฤติกรรมเหี้ยมโหดติดอันดับต้นๆ ของแก๊งยากูซ่าในประเทศญี่ปุ่น
แถลงผลจับกุมอีก 3 คดี
พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง
ขณะเดียวกัน พล.ต.ท.สมพงษ์ ยังแถลงผลการจับกุมอีก 3 คดี ได้แก่ คดีแรก จับกุมนายสี่ ซิงหยิง ผู้ต้องหาชาวจีนหลบหนีคดีเข้าไทย ซึ่งมีส่วนพัวพันในคดีฉ้อโกงอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการจัดตั้งบริษัท เหอเป่ยหลินหู พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด โดยไม่มีการจดทะเบียนจัดตั้ง และไม่ได้รับใบประกอบกิจการ และเมื่อปี 2557 ได้ขายอาคารที่พักอาศัย 2 อาคาร ซึ่งผู้เสียหายได้ผ่อนจ่ายดาวน์ไปแล้ว 18 เดือน รวมเป็นเงินประมาณ 10 ล้านบาท แต่นายสี่ไม่สามารถโอนให้แก่ผู้ซื้อได้ โดยสามารถจับกุมได้ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง
ส่วนคดีที่ 2 จับกุมสามีภรรยาแก๊งโรแมนซ์สแกม คือ น.ส.วาสนา กรรเจียก และนายยูเชนนา โจเซฟ อามูจิโอคู สัญชาติไนจีเรีย หลังสืบทราบว่าอยู่ในแก๊งโรแมนซ์สแกม ทำหน้าที่ตระเวนถอนเงินในพื้นที่ จ.ชลบุรี และ จ.ระยอง เบื้องต้น จากการตรวจค้นพบของกลางหลายรายการ และทั้งสองได้ให้การรับสารภาพก่อเหตุมาแล้วประมาณ 2 ปี เบื้องต้น มีผู้เสียหาย 12 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 2.6 ล้านบาท ตำรวจจึงแจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตัวเป็นผู้อื่น นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และเพิ่มเติมนายยูเชนนาในข้อหาเป็นบุคคลต่างด้างหลบหนีเข้าราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต
ขณะที่คดีสุดท้าย จับกุมชาวปากีสถาน 48 คน ซึ่งลักลอบพักอาศัยในอพาร์ตเม้นต์แห่งหนึ่ง ภายในซอยแบริ่ง เขตบางนา โดยอ้างว่าเป็นกลุ่มผู้ลี้ภัยภายใต้การดูแลขององค์การข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาติ หรือ UNHCR ระหว่างรอเดินทางไปประเทศที่ 3 โดยพบว่าลักลอบอยู่ในไทยมานานกว่า 5 ปี โดยบางคนมีหนังสือเดินทางที่ระบุว่าเข้าไทยมาตั้งแต่ปี 2556 ซึ่งการอนุญาตสิ้นสุดแล้ว ขณะที่บางคนไม่มีหนังสือเดินทาง ซึ่งหลังจากนี้ก็จะคัดแยกดำเนินการกับคนกลุ่มนี้ต่อไป