วันนี้ (22 ก.ค.2562) นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะทำงานอำนวยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ครั้งที่ 8/2562 ว่า ที่ประชุมได้มีการติดตามประเมิน คาดการณ์สภาพอากาศ ซึ่งจากการติดตามสถานการณ์น้ำในแหล่งน้ำปัจจุบัน พบว่ามีปริมาณน้ำรวม 38,665 ล้าน ลบ.ม.คิดเป็นร้อยละ 47% ดังนี้
- ภาคเหนือ 9,183 ล้านลบ.ม.ร้อยละ 34
- ภาคกลาง 508 ล้าน ลบ.ม. ร้อยละ 20
- ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4,246 ล้านลบ.ม. ร้อยละ 33
- ภาคตะวันตก 18,284 ล้านลบ.ม. ร้อยละ 68
- ภาคตะวันออก 1,120 ล้านลบ.ม. ร้อยละ 36
- ภาคใต้ 5,323 ล้านลบ.ม.ร้อยละ 58
ส่วนและศักยภาพน้ำบาดาล 1,228 ล้านลบ.ม.ต่อเดือน โดยมีปริมาณน้ำต้นทุนมากกว่าปี 2558 จำนวน 2,293 ล้านลบ.ม.หรือร้อยละ 7 แต่มีปริมาณน้ำน้อยกว่าปี 2561 จำนวน 11,904 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 25 นอกจากนี้ยังมีปริมาณน้ำน้อยกว่าร้อยละ 30 แบ่งเป็น อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ จำนวน 19 แห่ง ซึ่งต้องเฝ้าระวัง และอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง อีก 151 แห่ง
ชี้ฝนน้อยกว่าค่าเฉลี่ยร้อยละ 30-40
นายสมเกียรติ กล่าวอีกว่า การที่ปริมาณน้ำต้นทุนมีปริมาณน้อยแม้จะอยู่ในช่วงฤดูฝน มีสาเหตุมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ ปริมาณฝนตกช่วงฤดูฝนปี 2561 ตกน้อยกว่าค่าปกติประมาณร้อยละ 10–17 และมีการส่งน้ำให้กับพื้นที่เกษตรที่เพาะปลูกเกินแผนในฤดูแล้งปี 61/62 โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา มีการเพาะปลูกเกินแผน 1.2 ล้านไร่ ทำให้ต้องจัดสรรน้ำมากกว่าแผนร้อยละ 20 หรือ 1,528 ล้าน ลบ.ม. มีปริมาณฝนตกจริงน้อยกว่า ที่คาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (สสน.) ร้อยละ 30-40 ในภาคเหนือ กลาง และตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าอ่างเก็บน้ำน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงทำให้ต้องจัดสรรน้ำจากอ่างเก็บน้ำให้พื้นที่การเกษตรมากกว่าแผน
ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.ที่ผ่านมา กรมอุตุนิยมวิทยา และสสน.ได้ยืนยันคาดการณ์ปริมาณฝนที่จะตกในช่วงครึ่งแรกของฤดูฝนเดือน พ.ค.-ก.ค.จะมีปริมาณฝนน้อยกว่าค่าปกติร้อยละ 5-10 ส่วนครึ่งหลังของฤดูฝน ตั้งแต่ ส.ค.-ต.ค.จะมีปริมาณฝนใกล้เคียงกับค่าปกติ คาดว่าจะมีพายุพัดผ่านประเทศไทย 1-2 ลูกในช่วงเดือนส.ค.นี้
จากสถิติฝนที่ตกจริงในช่วงเดือน มิ.ย.-15 ก.ค.นี้ ฝนตกน้อยกว่าค่าปกติร้อยละ 30-40 ในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ยังมีปริมาณฝนมากกว่าปี 2558 ซึ่งเป็นปีแล้งสุดร้อยละ 12
ส่วนภาคอื่นๆ เป็นไปตามคาดการณ์ ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และเอลนิโญกำลังอ่อน โดยที่การคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา และสสน. สำหรับครึ่งหลังฤดูฝนยังคงยืนยันเหมือนเดิม คือ ใกล้เคียงกับค่าปกติ เทียบใกล้เคียงกับปี 2550
ภาพ:สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
เปิดศูนย์เฉพาะกิจ-ชงควบคุมใช้น้ำ
นายสมเกียรติ กล่าวว่า ล่าสุด สทนช.ได้ประเมินพื้นที่ฝนตกน้อยและอาจมีความเสี่ยงขาดแคลนน้ำโดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทาน 83 อำเภอ 20 จังหวัด แบ่งเป็น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 35 อำเภอ 10 จังหวัดภาคใต้ 27 อำเภอ 3 จังหวัด ภาคเหนือ 18 อำเภอ 6 จังหวัด และภาคตะวันตก 3 อำเภอ 1 จังหวัด
เบื้องต้นที่ประชุมได้พิจารณามาตรการรับมือภัยแล้งในช่วงฤดูฝน เพื่อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีโดยเร่งด่วนทั้งมาตรการเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว โดยจะเปิดศูนย์เฉพาะกิจชั่วคราวในภาวะวิกฤติ เพื่อบูรณาการกับศูนย์ปฏิบัติการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจังหวัดอย่างใกล้ชิด เพื่อรายงานตรงต่อนายกรัฐมนตรี
ภาพ:สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
นอกจากนี้จะมีปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่เหนือและท้ายอ่างเก็บน้ำ ปรับแผนการระบายน้ำและการเพาะปลูกพืช สนับสนุนน้ำอุปโภคบริโภคจากแหล่งน้ำใกล้เคียงในพื้นที่เสี่ยง เร่งรัดขุดลอกเพิ่มความจุแหล่งน้ำต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ประกาศภัยแล้ง-แล้งซ้ำซาก 144 โครงการ วงเงิน 1,226 ล้านบาท ปรับแผนการขุดเจาะ และซ่อมแซมบ่อบาดาล
รวมทั้งทบทวนการคาดการณ์ปริมาณน้ำฝน น้ำท่าที่ไหลเข้าอ่าง และน้ำในแม่น้ำ ในช่วงวันที่ 15 ก.ค.- 31 ต.ค.นี้ เพื่อวางแผนการใช้น้ำฤดูฝนนี้ และฤดูแล้งปี 62/63 เร่งรัดการก่อสร้างและซ่อมแซมฝายชะลอน้ำบริเวณต้นน้ำในเขต 67 จังหวัด 30,000 แห่ง งบ 3,000 ล้านบาท สำรวจความต้องการใช้น้ำในแต่ละพื้นที่ บริหารจัดการน้ำฝนที่ตกบริเวณพื้นที่ด้านท้ายแหล่งเก็บกักน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเก็บกับน้ำให้ได้มากที่สุด และนำน้ำที่จะระบายทิ้งกลับมาใช้ใหม่
กำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรหรือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ให้ทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด รวมถึงบูรณาการข้อมูลให้เป็นเอกภาพ รณรงค์การใช้น้ำอย่างประหยัด สร้างการรับรู้สถานการณ์น้ำทุกภาคส่วนต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายเพื่อกักเก็บน้ำไว้ให้ได้ไม่น้อยกว่า 3,200 ล้านลบ.ม.ภายในวันที่ 1 พ.ย.นี้