วันนี้ (15 ส.ค.2562) หลังจากคณะผู้แทนสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา–อาเซียน (US-ASEAN Business Council) เดินสายพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในช่วงเช้า
ช่วงบ่ายวันเดียวกันได้เดินทางมาพบ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อประชุมหารือการเข้าถึงบริการทางการเงินและประเด็นด้านเศรษฐกิจ โดยแสดงความสนใจถึงการต่อยอดโครงการระบบชำระเงินอิเล็คทรอนิกส์ของไทย หรือ แนทชั่นนอล อี-เพย์เม้นท์
ขณะที่นักธุรกิจบางส่วนระบุว่า บริษัทมีแผนขยายธุรกิจ การถ่ายทอดเทคโนโลยี และนวัตกรรมตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ
นายอุตตม กล่าวว่า การประชุมหารือดังกล่าว สะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติต่อทิศทางการยกระดับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย และไม่แสดงความกังวลต่อปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง รวมทั้งแผนการผลักดันร่างกฎหมายเก็บภาษีกิจการต่างชาติที่สร้างรายได้บนแพลตฟอร์มออนไลน์ในไทย หรือ อี-บิซเนส
นายอุตตม ยังเชิญชวนให้นักธุรกิจไทยที่มีบริษัทแม่สัญชาติอเมริกาแลกเปลี่ยนความเห็น และสอบถามนโยบายเศรษฐกิจกับข้าราชการกระทรวงการคลังอย่างเปิดกว้าง
ส่วนการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจในวันพรุ่งนี้ (16 ส.ค.) นายอุตตม กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้เตรียมเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไม่น้อยกว่า 1-2 แสนล้านบาท
โดยแบ่งเป็นมาตรการ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เช่น มาตรการสนับสนุนเงินท่องเที่ยว ทั้งเมืองหลัก และเมืองรอง ผ่านระบบกระเป๋าเงินอิเล็คทรอนิกส์ มาตรการจ่ายเงินอุดหนุนเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง มาตรการกระตุ้นการจับจ่าย หรือ ช็อปช่วยชาติ โฉมใหม่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นประชาชน ตลอดจน มาตรการสนับสนุนการลงทุน เพื่อลดความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ผลจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะช่วยขับเคลื่อนจีดีพีให้ขยายตัวเกินร้อยละ 3 ไปมากน้อยแค่ไหน อยู่ที่ สศช. เป็นผู้คำนวณ
ขณะที่นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกิตติมศักดิ์ สมาคมบริษัทจัดการกองทุน คาดว่า จีดีพีทั้งปี จะขยายตัวร้อยละ 2.9-3.0 เท่านั้น โดย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เป็นเพียงมาตรการบรรเทาผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกระยะสั้น แต่การส่งออกและท่องเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก จากสงครามการค้า และค่าเงินบาทแข็ง จึงเป็นไปได้ยากที่จีดีพีปีนีัจะเกินร้อยละ 3 แม้ลดดอกเบี้ยนโยบายสนับสนุนแล้วก็ตาม
พร้อมระบุว่า กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่เหลืออยู่มีเพียงการเร่งลงทุนภาครัฐและเอกชนที่จะมีกำลังเพียงพอต่อการพยุงเศรษฐกิจ ให้ขยายตัวต่อเนื่อง พร้อมเสนอกระทรวงการคลัง ทบทวนการต่ออายุมาตรการลดหย่อนภาษีหน่วยลงทุนกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ แอลทีเอฟ เพื่อจูงใจนักลงทุนออมเงินในตลาดทุนต่อไป