วันนี้ (7 ต.ค.2562) นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า สถานการณ์ฝนในช่วงสัปดาห์นี้ไม่มีอะไรน่ากังวล เนื่องจากมีเพียงฝนฟ้าคะนอง ไม่ใช่หย่อมความกดอากาศต่ำหรือร่องมรสุม จึงไม่มีความเสี่ยงเกิดน้ำท่วมไหลหลากครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ แต่อาจมีน้ำท่วมชุมชนหรือน้ำท่วมเฉพาะจุด ซึ่งที่ประชุมศูนย์อำนวยการน้ำเฉพาะกิจเพื่อติดตามและวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ ครั้งที่ 6/2562 ได้ประเมินว่าน่าจะส่งผลดีในการช่วยกักเก็บน้ำในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคอีสานตอนล่าง
มีการคาดการณ์ว่า ตั้งแต่วันที่ 15 ต.ค.2562 จะเกิดฝนตกหนักบริเวณภาคใต้ตอนกลางฝั่งตะวันตก มีพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงน้ำท่วมและน้ำล้นตลิ่ง ทั้งหมด 14 จังหวัด 64 อำเภอ ประกอบด้วย
- ภาคตะวันออก 3 จังหวัด 6 อำเภอ ได้แก่ จันทบุรี ชลบุรี ตราด
- ภาคตะวันตก 2 จังหวัด 14 อำเภอ ได้แก่ เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์
- ภาคใต้ 9 จังหวัด 44 อำเภอ ได้แก่ สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ชุมพร ระนอง พังงา กระบี่ ตรัง พัทลุง สงขลา
โดยได้สั่งการให้กรมชลประทานและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เร่งติดตั้งเครื่องจักร เครื่องมือในพื้นที่ เตรียมพร้อมรับสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือได้ทันที โดยเฉพาะ จ.นครศรีธรรมราช กระบี่ ภูเก็ต และสงขลา ที่อาจจะได้รับผลกระทบหนักกว่าพื้นที่อื่น ซึ่งขณะนี้กรมชลประทานได้ติดตั้งเครื่องจักรกลในพื้นที่ 16 จังหวัดภาคใต้ จำนวน 1,106 หน่วย แบ่งเป็นเครื่องสูบน้ำ 453 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ำ 300 เครื่อง รถแทรกเตอร์และรถขุด 108 คัน และเครื่องจักรกลสนับสนุนอื่นๆ 245 หน่วย
สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมใน จ.อุบลราชธานี ขณะนี้เหลือพื้นที่ประสบภัย 3 อำเภอ คือ อ.เมือง อ.วารินชำราบ และอ.สว่างวีระวงศ์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเร่งให้ความช่วยเหลือเพื่อคลี่คลายสถานการณ์
เลขาธิการ สทนช. ยังกล่าวถึงการเตรียมพร้อมรับมือฤดูแล้งว่า น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคไม่น่าจะมีปัญหา ซึ่งการประปาส่วนภูมิภาคได้สำรวจพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนในช่วงเดือน พ.ย.2562 - เม.ย.2563 รวมทั้งสิ้น 48 สาขาใน 24 จังหวัด เบื้องต้นกรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้จัดทำแผนสำรองไว้ในส่วนที่มีการใช้แหล่งน้ำร่วมกัน
ส่วนน้ำเพื่อทำการเกษตรในปี 2562 ปริมาณน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำหลายๆ แห่งมีค่อนข้างน้อย รวมถึงขณะนี้ในภาคกลางเริ่มมีการปลูกข้าวรอบ 2 และพืชต่อเนื่องแล้ว ซึ่ง สทนช.ได้ประเมินจากปริมาณน้ำที่มีอยู่ในปัจจุบัน พบว่าจะมีน้ำเหลือใช้สำหรับปลูกพืชและข้าวรอบ 2 ได้เพียงไม่เกิน 1,000 ล้าน ลบ.ม.เท่านั้น เพราะจำเป็นต้องกักเก็บน้ำไว้เพื่อให้เพียงพอตลอดฤดูแล้งปีหน้า โดยไม่ให้กระทบต่อน้ำอุปโภคบริโภค
ทั้งนี้ สทนช.ได้แจ้งข้อมูลปริมาณน้ำต้นทุนทั้งประเทศไปยังกระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เร่งเตรียมการและจัดทำแผนการเพาะปลูก พร้อมประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรทราบเพื่อป้องกันปัญหาการแย่งน้ำในอนาคต ซึ่งศูนย์อำนวยการน้ำเฉพาะกิจจะหารือแนวทางมาตรการในทางปฏิบัติรายพื้นที่ในวันที่ 14 ต.ค.นี้