วานนี้ (27 ต.ค.2562) นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี ในฐานะรองโฆษกกรมสรรพสามิต กล่าวว่า หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้รับทราบการเก็บภาษีสรรพสามิตรถจักรยานยนต์รูปแบบใหม่ จากเดิมเก็บตามขนาดเครื่องยนต์ มาเป็นตามการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยภาษีใหม่จะเริ่มเก็บกับรถที่นำออกจากโรงงานหรือนำเข้ามาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2563
สำหรับอัตราภาษีรถจักรยานยนต์ใหม่ จะทำให้รถจักรยานยนต์ขนาดไม่เกิน 150 ซีซี ที่มีการใช้ 90% ของการใช้รถจักรยานยนต์ในประเทศทั้งหมดมีภาษีเพิ่มขึ้นคันละกว่า 100 บาท จากเดิมเสียภาษีในอัตรา 2.5% มาเสียภาษี 3% ของราคาขายปลีกหรือราคานำเข้า ดังนี้
- ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกิน 10 กรัมต่อกิโลเมตร (ก.ม.) คิดภาษี 1%
- ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิน 10 กรัมต่อก.ม. แต่ไม่เกิน 50 กรัมต่อก.ม. คิดภาษี 3%
- ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิน 50 กรัมต่อก.ม. แต่ไม่เกิน 90 กรัมต่อก.ม. คิดภาษี 5%
- ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิน 90 กรัมต่อก.ม. แต่ไม่เกิน 130 กรัมต่อก.ม. คิดภาษี 9%
- ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกิน 130 กรัมต่อก.ม. คิดภาษี 18%
ทั้งนี้ที่รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือ บิ๊กไบค์ ที่มีเครื่องยนต์ตั้งแต่ 1,000 ซีซี ขึ้นไปจะต้องเสียภาษีเพิ่มคันละประมาณ 100,000 บาท เนื่องจากมีการปล่อย CO2 มาก ต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น โดยมีสัดส่วนประมาณ 2-3% ของมอเตอร์ไซค์ทั้งหมด
นายณัฐกร กล่าวว่า อัตราภาษีรถจักรยานยนต์ประกอบด้วย 3%, 5%, 9% และ 18% ตามการปล่อย CO2 โดยหากผู้ประกอบการไม่มีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีให้ปล่อย CO2 ลดลง จะทำให้กรมสรรพสามิตเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นปี 500-700 ล้านบาท