วันนี้ (4 พ.ย. 2562) น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยืนยันพรรคจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เนื่องจากมั่นใจว่ามีข้อมูลที่จัดเจนเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่มีความบกพร่องผิดพลาดไร้ประสิทธิภาพปรากฏให้เห็นชัด แม้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะบริหารงานมาเพียง 3 เดือนก็ตาม โดยคณะทำงานในชั้นกรรมาธิการฯทั้ง 35 คณะในส่วนของพรรค ได้พบร่องรอยบางประการที่สอว่าจะมีเรื่องทุจริต แต่การกำหนดวันอภิปรายรายละเอียดนั้นจะต้องหารือกับพรรคร่วม 7 ฝ่ายค้านก่อน รวมถึงกรณีจะยื่นอภิปรายเป็นรายบุคคล หรืออภิปรายทั้งคณะ โดยยืนยันว่าข้อมูลในส่วนที่พรรคเพื่อไทยมีพบว่ามีรัฐมนตรีหลายคนที่เข้าข่ายการอภิปรายได้ ขอยังไม่เปิดเผยว่าเป็นใคร กระทรวงใด แต่เปรยว่าอาจมีบางคนที่สังคมคาดไม่ถึง
ขณะที่นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล แกนนำพรรคเพื่อไทยระบุว่า ในส่วนการทำงานของคณะกรรมาธิการงบประมาณปี 2563 ได้พิจารณาไปแล้ว 2 กระทรวง ซึ่งเห็นว่าการจัดสรรงบประมาณภาพรวมไม่เป็นไปตามกระบวนการงบ โดยเฉพาะการบริหารการเงินการคลังภาครัฐไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจหรือพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศได้ อีกทั้งยังพบร่องรอยที่เชื่อว่ามีเรื่องของการทุจริตที่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาการจัดสรรงบประมาณ พร้อมฝากไปยังส่วนราชการว่าคณะทำงานอาจจะมีการปรับลดงบประมาณจำนวนมาก โดยเฉพาะงบประมาณที่ใช้ไปแล้วไม่ก่อให้เกิดรายได้ประชาชนไม่ได้รับประโยชน์ ประมาณที่เอื้อต่อการทุจริต
ชี้ว่าการจัดสรรงบประมาณในปีนี้แตกต่างจากอดีต โดยเฉพาะยังหาข้อสรุปไม่ได้เรื่องงบฯพลางก่อน หรือกรณีที่งบประมาณปี2563 ยังไม่ออกแต่สามารถใช้งบประมาณปี62 ซึ่งปกติจะใช้เป็นเงินเดือนและค่าใช้สอย แต่ปีนี้ พ.ร.บ.งบประมาณได้เปลี่ยนไป โดยตั้งข้อสังเกตเรื่องสำนักงานงบประมาณได้ออกประกาศความเห็นชอบที่ออกจากสำนักนายกรัฐมนตรีประกาศแล้วใช้เลยนั้น แต่ไม่ได้เผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งอาจถือได้ว่าไม่เป็นกฎหมายหรือไม่
ส่วนกรณีมาตรา 52 ของงบประมาณปี 2561 ระบุว่า ข้าราชการ หน่วยงานของรัฐ ถ้ารับงบประมาณไปแล้วไม่ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.นี้ นอกจากจะถูกดำเนินคดีทางอาญาต้องถูกเรียกเงินคืนด้วย โดยเฉพาะกรณีหากบุคคลภายนอกที่รับเงินไปแล้วจากการดำเนินโครงการอาจถูกเรียกเงินคืนนั้น เห็นว่ายังไม่มีความชัดเจนในมาตราดังกล่าว ซึ่งอาจจะเป็นปัญหาต่อการบริหารราชการแผ่นดิน จึงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหานี้ให้เกิดความชัดเจน ขณะเดียวกันเชื่อว่าจะไม่มีปัญหาขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 144 กรณีที่มีการแปรญัตติปรับเพิ่ม การปรับลด
นอกจากนี้นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่าหลังจากดูรายละเอียดการจัดสรรงบประมาณ 2-3 กระทรวงที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการฯปรับลดงบประมาณในส่วนที่ไม่เหมาะสม ส่วนที่หน่วยงานไม่สามารถชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการได้ตามที่ได้วางเป้าหมายเอาไว้ คณะกรรมาธิการตั้งเป้าว่างบประมาณที่ถูกปรับไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาทจะถูกนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์โดยเฉพาะงบกลาง นอกจากนี้เชื่อว่างบในรายกระทรวงก็มีโอกาสที่จะปรับรถเพิ่มเติมอีก 2-3 หมื่นล้านบาท ด้วยเห็นว่าเป็นการจัดสรรงบประมาณที่ซ่อนเม็ดเงินและกรรมาธิการตามรายละเอียดได้ลำบาก เพราะในปีนี้เป็นการใช้งบไม่เหมือนทุกปีเนื่องจากร่างกฎหมายล่าช้า เพราะแผนงานโครงการบางโครงการผิดปกติ
และยังตั้งข้อสังเกตถึงรายละเอียดในร่างกฎหมายมีสิ่งที่แปลกไปจากเดิม งบประมาณในส่วนของเทศบาลและองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น หรืองบฯ อบต. นำไปจัดสรรไว้ที่กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นจำนวนกว่า 200,000 ล้านบาท ด้วยหตุผลที่อ้างว่าจัดไปยังส่วนท้องถิ่นโดยตรงไม่ทัน จึงจะมีการทบทวนว่าตัวบทกฏหมายนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เนื่องจากเห็นว่ามีงบที่ซ่อนเร้น
นายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลฝ่ายค้าน หรือ วิปฝ่ายค้าน ระบุถึงแนวทางการดำเนินงานในสภาผู้แทนราษฎร ที่ยืนยันสอดคล้องกับเลขาธิการพรรคเพื่อไทยว่า จะต้องตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ แม้จะบริหารงานบริหารราชการแผ่นดินเพียง3เดือน แต่ว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์ก็เป็นรัฐบาลมาแล้ว 6 ปีพี่ยังไม่มีใครได้ตรวจสอบ
โดยในสัปดาห์นี้มีวาระสำคัญของการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร 3 เรื่อง คือเรื่องการรับทราบรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานปฏิรูปประเทศ 11 ด้านรอบ 3 เดือน ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายน ซึ่งเห็นว่าการปฏิรูปประเทศไม่คืบหน้า สมาชิกจะใช้โอกาสนี้ในการอภิปรายเสนอแนะทวงติง
นอกจากนี้ยังมีการเสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบการใช้อำนาจ ม.44 ของ คสช. ที่มีสมาชิกสนใจจะอภิปรายเยอะ เนื่องจากมีผลพวงจากการใช้กฎหมายในระหว่าง 5-6 ที่ผ่านมา และยังมีวาระเรื่องการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาวิธีและหลักเกณฑ์การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยืนยันว่าใน 3 วาระนี้จะเกิดขึ้นภายในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า และจะแล้วเสร็จไม่เกินกลางเดือน พร้อมกับย้ำว่าการทำงานของฝ่ายค้านอย่างเหนียวแน่นมั่นคง ว่าประชาชนจะไม่ผิดหวังและการอภิปรายจะเป็นไป
นอกจากนี้นายสุทินระบุว่าพรรคเพื่อไทยยอมรับได้หากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะมาเป็นประธานกรรมาธิการศึกษาหลักเกณฑ์และแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะพรรคเพื่อไทยใจกว้าง และหากสมาชิกวุฒิสภาจะมาร่วมด้วยก็พร้อมที่จะยอมรับ หรือจะมีคนนอกด้วยก็ได้ตามที่กฎหมายกำหนด พร้อมกันนี้ขอให้รัฐบาลใจกว้างด้วยเช่นกัน
นายแพทย์ชลน่านระบุเพิ่มเติมเรื่องของการกำหนดสัดส่วนการตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาหลักเกณฑ์และการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าเป็นอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร และพรรคเพื่อไทยก็พร้อมที่จะยอมรับ ซึ่งหากพรรคเพื่อไทยเห็นว่าไม่เหมาะสมก็ทำได้เพียงแค่ทักท้วง