วันนี้ (8 พ.ย.2562) พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า แถลงความคืบหน้ากรณียิงถล่มป้อม ชรบ. ต.ลำพะยา อ.เมือง จ.ยะลา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 15 คน ว่า เหตุการณ์นี้นับเป็นความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547 เป็นต้นมา โดยสื่อมวลชนบางสำนักได้มีการนำเสนอข่าวว่า กองทัพภาคที่ 4 ประกาศใช้มาตรการห้ามบุคคลออกนอกเคหะสถาน (เคอร์ฟิว) เพื่อบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงทั่วพื้นที่ ซึ่งสร้างความสับสนและตื่่นตระหนกแก่สังคม โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
พ.อ.ปราโมทย์ กล่าวอีกว่า หลังเกิดเหตุ พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 สั่งการให้บูรณาการกำลังเข้าบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มบุคคลต้องสงสัยก่อเหตุครั้งนี้ ปัจจุบันหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์สามารถระบุตัวบุคคลที่ก่อเหตุได้แล้วจำนวนหนึ่ง โดยได้ใช้แผนกดดันทุกพื้นที่ โดยเฉพาะเทือกเขารอยต่อ จ.ยะลา และ จ.สงขลา พบฐานปฏิบัติการร้างของผู้ก่อเหตุ 1 แห่ง นอกจากนี้ เข้ากดดันต่อกลุ่มบุคคลเป้าหมายที่คาดว่าให้ความช่วยเหลือ ให้การสนับสนุน และนำหลบหนี โดยเป็นหมู่บ้านที่ให้การสนับสนุนรวม 9 เป้าหมาย และกลุ่มบุคคลที่ก่อเหตุรุนแรงที่มีรายชื่ออยู่แล้ว 21 คน โดยจะเข้าไปกดดันต่อบ้านของครอบครัวและเครือญาติอย่างต่อเนื่อง เบื้องต้นควบคุมตัวบุคคลต้องสงสัยได้แล้ว 1 คน ที่ อ.ธารโต จ.ยะลา เมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา และอยู่ระหว่างการซักถามที่ศูนย์ซักถามของหน่วยเฉพาะกิจทหารพรานที่ 43 ค่ายอิงคยุทธบริหาร พบว่าเป็นชาว ต.ปากล่อ อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ซึ่งอยู่ติดกับจุดที่ลอบวางระเบิด โรยตะปูเรือใบ และเผายางรถยนต์ สกัดกั้นการเข้าพื้นที่ของเจ้าหน้าที่
โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยืนยันว่า จะบังคับใช้กฎหมายภายใต้อำนาจของกฎหมายความมั่นคง ด้วยความระมัดระวัง และจะไม่กระทบสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน รวมถึงการดำเนินชีวิตของประชาชน ขณะนี้ยังไม่มีเหตุผลและความจำเป็นที่จะประกาศใช้เคอร์ฟิวในพื้นที่ เพื่อจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน โดยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ขอความร่วมมือช่วยกันตรวจสอบและแจ้งเบาะแสบุคคลต้องสงสัยก่อเหตุ ซึ่งคาดว่าผู้ก่อเหตุครั้งนี้ได้รับบาดเจ็บหลายคน ส่วนผู้ที่ช่วยเหลือหลบหนี หรือให้ที่พักพิง ขอให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว เพราะเข้าข่ายมีความผิดตามกฎหมายเช่นเดียวกับผู้ก่อเหตุรุนแรง