จากกรณีเว็บไซต์ Similan Farm, Clownfish โพสต์ข้อความพร้อมระบุว่า อย่ากินผมเลยได้ไหม ผมชื่อปลานกแก้วครับ หลายๆคนที่เป็นนักดำน้ำคงจะรู้จักผมดี เพราะพวกผมมีสีสันสวยงาม และมักพบเห็นได้ง่ายในแนวปะการัง ใช่แล้วครับบ้านของผมอยู่ในแนวปะการัง เห็นจงอยปากแข็งๆของผมไหม ผมเอาไว้ครูดกินซากปะการังตาย เสร็จแล้วก็ถ่ายออกมาเป็นทรายขาวๆ ที่ทุกคนชื่นชอบ ปีๆหนึ่งผมอึ ออกมาเป็นทรายได้ถึง 90 กิโลกรัมเลยนะ
ผมยังมีหน้าที่สำคัญอีกอย่างคือหม่ำสาหร่าย ที่มักขึ้นคลุมแนวปะการังหลังปะการังตายเนื่องจากเหตุ การณ์ปะการังฟอกขาว หรือภัยคุกคามอื่นๆ ถ้าไม่มีผมล่ะ ก็สาหร่ายจะพากันขึ้นคลุมพื้นที่จะทำให้ตัวอ่อนปะการังไม่มีที่ลงเกาะ แล้วก็จะไม่มีปะการังตัวอ่อนมาทดแทนตัวเก่านะครับ
แต่เดี๋ยวนี้มนุษย์เริ่มนิยมนำผมมาบริโภคมากขึ้น เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ของผมถูกจับมาขายเป็นจำนวนมาก ทั้งๆที่แนวปะการังส่วนใหญ่เป็นเขตอนุรักษ์และไม่อนุญาตให้มีการทำประมง
ถ้าความนิยมในการกินพวกผมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างนี้ และมีผมวางขายอยู่ทุกหนทุกแห่ง ผมเป็นห่วงเกินว่าบ้านของผมคือแนวปะการังจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ก็ใครจะคอยทำหน้าที่กินซากปะการังที่ตาย และคอยกันไม่ให้สาหร่ายขึ้นคลุมปะการังล่ะครับ
อย่ากินผมเลยนะครับ ปล่อยให้ผมได้ทำหน้าที่อนุรักษ์แนวปะการังของผมต่อไปเถิด ถ้าคิดถึงอยากเจอกันก็ไปเยี่ยมกันได้นะ ไปดำน้ำดูปะการัง แล้วผมจะพาเที่ยวเอง ผมยินดีต้อนรับเสมอ
ขณะที่กลุ่มอนุรักษ์หลายคนยังแสดงความห่วงเนื่องจากยังพบมีการนำปลานกแก้วมาวางขายที่ร้านอาหาร และร้านขายอาหารทะเลในตลาด จึงเรียกร้องให้มีการคุ้มครองปลาชนิดนี้ก่อนที่จะสูญพันธ์ุ
จับปลานกแก้ว ผิดกฎหมาย
ขณะที่เพจเฟซบุ๊ก สำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธ์ุพืช ระบุว่า ปลานกแก้ว (Parrotfish) เป็นปลาทะเลขนาดกลางชนิดหนึ่ง มีเกล็ดขนาดใหญ่ จะงอยมีปากยืดหดได้ ปากคล้ายนกแก้ว (เป็นที่มาของชื่อปลานกแก้ว) เนื่องจากปลานกแก้วมีรูปร่าง ลักษณะและสีสันสวยงาม จึงมีผู้นิยมจับมาดูเล่นและนำมาเป็นอาหาร ทำให้ประชากรปลานกแก้วลดลง ส่งผลกระทบระบบนิเวศโดยรวมของทะเลบริเวณนั้นก็จะเสียสมดุลไปอย่างมาก ปะการังตายมากขึ้น ฟื้นตัวช้า และเมื่อเกิดการฟอกสีเนื่องจากอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น ก็จะฟื้นตัวยากหรือตายไปอย่างถาวร
สำนักอุทยานแห่งชาติ ขอรณรงค์ทุกท่านร่วมกัน ไม่สนับสนุน ไม่ซื้อ ไม่รับประทานปลานกแก้ว หากพบเห็นการจับปลานกแก้วในเขตอุทยานแห่งชาติให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย
กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช มีประกาศฉบับลงวันที่ 11 ส.ค. 2558 ห้ามกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวน เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมหรือทำอันตรายกับสัตว์ต่างๆ ทุกชนิดในอุทยานแห่งชาติ หากฝ่าฝืนจะมีความผิดและต้องรับโทษตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2504
มาตรา 16(3) นำสัตว์ออกไปหรือทำอันตรายด้วยประการใดๆ ให้เป็นอันตรายแก่สัตว์ ประกอบกับ
มาตรา 21 ให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจออกคำสั่งให้ผู้กระทำความผิดตามมาตรา 16 ออกจากเขตอุทยานแห่งชาติ หรือ งดเว้นการกระทำใดๆ ในเขตอุทยานแห่งชาติ ซึ่งถือว่าเป็นความผิดตามมาตรา 24 ผู้ใดฝ่าฝืน มาตรา 16(3) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ