เมื่อวานนี้ (1 ธ.ค.2562) นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดเผยว่า ผลสำรวจภาคสนามเรื่องนักการเมืองกับการยกเลิกเกณฑ์ทหาร กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยเชิงคุณภาพ ผ่านเสียงประชาชนในโลกโซเชียล ด้วยระบบ Net Super Poll จำนวน 3,084 ตัวอย่าง และเสียงประชาชนในสังคมดั้งเดิม จำนวน 1,250 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 15-30 พ.ย.2562 เมื่อถามถึงการเกณฑ์ทหารกับการสร้างลักษณะต่างๆ ของชายไทย พบว่าความอดทน ร้อยละ 61.5, ความเข้มแข็ง ร้อยละ 60.3, ความรักชาติ ร้อยละ 58.1, ความกล้าหาญ ร้อยละ 54.8, ความมีวินัย ร้อยละ 52.9, ความเสียสละ ร้อยละ 49.0 และสุขภาพแข็งแรง ร้อยละ 43.2 ตามลำดับ
ที่น่าพิจารณา คือภาพแห่งความทรงจำที่มีทหารเข้าช่วยเหลือประชาชน พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 60.3 เป็นภาพน้ำท่วมครั้งใหญ่ของประเทศ ปี พ.ศ.2554 รองลงมา คือช่วยชีวิตเด็กที่ถ้ำหลวงร้อยละ 56.0 น้ำท่วมภาคอีสานปี พ.ศ.2562 ร้อยละ 50.8 ช่วยเหลือประชาชนพัฒนาท้องถิ่นร้อยละ 41.7 เหตุร้ายทั่วไปร้อยละ 36.4 ขุดลอกคูคลองร้อยละ 36.0 น้ำท่วมดินถล่มร้อยละ 34.9 และสนธิกำลังทหารตำรวจฝ่ายปกครองจัดการผู้มีอิทธิพลร้อยละ 26.1 ตามลำดับ
ประชาชนส่วนใหญ่ชี้ยังไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่าเกณฑ์ทหาร
ที่น่าห่วง คือเมื่อถามว่านักการเมืองที่รณรงค์ยกเลิกเกณฑ์ทหารมีวิธีการอื่นที่ดีกว่าแล้วหรือไม่ ผลสำรวจพบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 81.9 ระบุยังไม่มีวิธีการอื่นที่ดีกว่า การเกณฑ์ทหารในปัจจุบัน มาประกันความมั่นคงของประเทศ มาประกันการช่วยเหลือประชาชนยามเกิดภัยพิบัติ เหตุความไม่สงบในประเทศ การรณรงค์มีแต่ปลุกปั่นเอาข้อผิดพลาดเรื่องหยุมหยิมส่วนน้อยมาทำลายเรื่องใหญ่ด้านความมั่นคงและความเดือดร้อนของประชาชน เช่น ทหารรับใช้ การวิ่งเต้น
นอกจากนี้ การรณรงค์ยังเอาแนวทางของประเทศอื่นที่ไม่เข้ากันได้กับประเทศไทย และเอาธรรมชาติของความกลัว การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ชาติและเอาความสบายของคนมาเป็นจุดขายเพื่อฐานสนับสนุนสถานภาพทางการเมืองของตนเองมากกว่าทำเพื่อชาติบ้านเมืองแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 18.1 ระบุว่ามีวิธีการอื่นที่ดีกว่าแล้ว เช่น ระบบสมัครใจ การจ่ายเงินให้รัฐ และแนวทางยกเลิกเกณฑ์ทหารของต่างประเทศ เป็นต้น ที่น่าสนใจคือ เมื่อถามถึงความจำเป็นหรือไม่จำเป็นต้องเกณฑ์ทหาร พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 61.4 ระบุจำเป็นต้องมีการเกณฑ์ทหาร ขณะที่ร้อยละ 18.4 ระบุไม่จำเป็น และร้อยละ 20.2 ไม่แน่ใจ
"รณรงค์เลิกเกณฑ์ทหาร" เสียงตอบรับเชิงลบ 65.5%
นายนพดล กล่าวว่า ผลการสำรวจพบว่าการรณรงค์ยกเลิกเกณฑ์ทหารกำลังเข้าถึงคนในโลกโซเชียลทั้งหมด 22,259,166 คน แต่มีคนที่สนใจพูดถึงการเกณฑ์ทหารในโลกโซเชียลจำนวน 5,014,025 คน โดยพบด้วยว่าคนในโลกโซเชียลที่สนใจเข้ามาสังเกตการณ์เกาะติดเรื่องการยกเลิกเกณฑ์ทหาร บางส่วนพูดคุยเรื่องนี้มาจากประเทศต่างๆ เช่น จีน สหรัฐอเมริกา รัสเซีย กลุ่มประเทศในยุโรป ประเทศตะวันออกกลาง ลาว เมียนมา กัมพูชา เวียดนาม และมาเลเซีย ขณะที่เสียงตอบรับต่อการรณรงค์ยกเลิกเกณฑ์ทหารที่ค้นพบครั้งนี้เป็นเสียงตอบรับเชิงลบร้อยละ 65.5 และเสียงตอบรับเชิงบวกมีร้อยละ 34.5
คนในโซเชียลทั่วโลก-ประเทศเพื่อนบ้านเกาะติดใกล้ชิด
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า ฝ่ายการเมืองที่รณรงค์ยกเลิกเกณฑ์ทหารคงจะหาเสียงสนับสนุนไปจนถึงช่วงการเกณฑ์ทหารในต้นปีหน้าโดยเอาธรรมชาติของความกลัว ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าผลประโยชน์ชาติและความสบายของคนเป็นจุดขาย และเป็นไปได้ว่าจะมีเสียงสนับสนุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือประเด็นการยกเลิกเกณฑ์ทหารไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะจากการกวาดเอาข้อมูลในโลกโซเชียลมาวิเคราะห์พบว่ามีคนในโลกโซเชียลจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกและคนในประเทศที่ติดชายแดนของประเทศไทยติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดเช่นกัน มันมีนัยสำคัญอะไรบางอย่างต่อความมั่นคงของชาติและความอยู่เย็นเป็นสุขของประชาชนคนไทยที่ตามจริงแล้ว ประเด็นปัญหาท้าทายที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยเวลานี้ไม่ใช่เรื่องยากที่จะผ่านพ้นไปได้ แต่การทำงานร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวของทุกๆ ฝ่ายที่มีอำนาจในเวลานี้ต่างหากเป็นเรื่องที่ยากกว่า