ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

"บีโอไอ" ออกมาตรการเร่งรัดลงทุนเมกะโปรเจกต์-เอสเอ็มอี

เศรษฐกิจ
6 ก.พ. 63
13:32
455
Logo Thai PBS
"บีโอไอ" ออกมาตรการเร่งรัดลงทุนเมกะโปรเจกต์-เอสเอ็มอี
บอร์ดบีโอไอเห็นชอบ 3 มาตรการพิเศษเร่งรัดลงทุนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก คาดว่าจะสามารถช่วยกระตุ้นการลงทุนได้มากกว่า 200,000 ล้านบาทภายใน 2 ปี

วันนี้ (6 ก.พ.2563) ผู้สื่่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 1/2563 ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยที่ประชุมพิจารณามาตรการพิเศษในการกระตุ้นการลงทุน ครอบคลุมนักลงทุนทุกกลุ่ม อาทิ มาตรการกระตุ้นการลงทุนปี 2563 การปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานราก การปรับปรุงประเภทกิจการด้านการท่องเที่ยว การส่งเสริมการลงทุนกิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายน้อย และมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นต้น

คาดกระตุ้นการลงทุนกว่า 2 แสนล้าน

น.ส.ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้เห็นชอบมาตรการพิเศษ 3 มาตรการ 1. มาตรการกระตุ้นการลงทุนสำหรับโครงการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมายที่มีผลกระทบสูงต่อเศรษฐกิจของประเทศ (กิจการกลุ่ม A1 A2 และ A3 ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5-8 ปี แต่ไม่รวมกิจการที่ไม่มีที่ตั้งสถานประกอบการ เช่น กิจการขนส่งทางอากาศ กิจการขนส่งทางเรือ เป็นต้น) ซึ่งผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้ทุกพื้นที่ โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลร้อยละ 50 เพิ่มเติมเป็นระยะเวลา 5 ปี หากมีการลงทุนจริง (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ภายในปี 2563 หรือไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท ภายในปี 2564 ทั้งนี้ มาตรการนี้มีผลบังคับใช้สำหรับคำขอรับการส่งเสริมที่ยื่นตั้งแต่ 2 ม.ค.2562-30 ธ.ค.2563 โดยคาดว่าจะสามารถช่วยกระตุ้นการลงทุนได้มากกว่า 200,000 ล้านบาท ในระยะปี 2563-2564

เพิ่มสิทธิประโยชน์เว้นภาษี "เอสเอ็มอี"

2. มาตรการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการปรับปรุงมาตรการส่งเสริม SMEs โดยกำหนดคำจำกัดความของ SMEs ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับคำจำกัดความของ SMEs ของ สสว.ที่มีการปรับปรุงเมื่อต้นปี 2563 คือเป็นกิจการที่ต้องถือหุ้นโดยบุคคลธรรมดาสัญชาติไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 51 และจะต้องมีรายได้ของกิจการทั้งที่ได้รับการส่งเสริมและไม่ได้รับการส่งเสริมไม่เกิน 500 ล้านบาทต่อปี ใน 3 ปีแรก ในกรณีตั้งกิจการในนิคมหรือเขตอุตสาหกรรม จะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมอีก 1 ปี หากตั้งในพื้นที่เขตพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนจะได้รับสิทธิประโยชน์การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยได้รับวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในสัดส่วนร้อยละ 200 ของเงินลงทุน (ไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) ด้วย ทั้งนี้ ต้องยื่นคำขอรับส่งเสริมตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค.2563 ถึงวันทำการสุดท้ายของปี 2564

ส่งเสริมรถรางไฟฟ้า เพื่อการท่องเที่ยว

3. มาตรการท่องเที่ยว ที่ประชุมเห็นชอบให้ปรับปรุงประเภทกิจการกระเช้าไฟฟ้า และกิจการโรงแรม โดยประเภทกิจการกระเช้าไฟฟ้า ได้ขยายขอบข่ายให้ครอบคลุมรถรางไฟฟ้าเพื่อการท่องเที่ยวด้วย และกำหนดเงื่อนไขต้องมีการลงทุนไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท (ไม่รวมค่าที่ดินและเงินทุนหมุนเวียน) เพื่อเป็นการส่งเสริมการลงทุนโครงการที่มีคุณภาพ สำหรับกิจการโรงแรม ได้มีการปรับเงื่อนไขให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวที่ต้องการกระตุ้นให้เกิดการกระจายรายได้ และการท่องเที่ยวไปสู่เมืองรอง โดยเน้นการสร้างคุณภาพและมาตรฐานของโรงแรม เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีระยะเวลาพำนักนานขึ้น และมีการใช้จ่ายในประเทศมากยิ่งขึ้น โดยปรับขอบข่ายพื้นที่ที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล เป็นระยะเวลา 3 ปี จากเดิมซึ่งให้เฉพาะกรณีลงทุนในพื้นที่ 20 จังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ ขยายเป็นกรณีลงทุนในพื้นที่เมืองรอง 55 จังหวัดตามยุทธศาสตร์การท่องเที่ยว

ส่งเสริมกิจการสร้างบ้านผู้มีรายได้น้อย

น.ส.ดวงใจ กล่าวว่า บอร์ดบีโอไอยังได้มีมติให้เปิดส่งเสริม "กิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย" โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์เฉพาะการยกเว้นภาษี เงินได้นิติบุคคล เป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสร้างที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพดี ซึ่งได้กำหนดหลักเกณฑ์ เช่น กรณีอาคารชุดต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 24 ตารางเมตร กรณีบ้านแถวหรือบ้านเดี่ยว ต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 70 ตารางเมตร โดยมีราคาขายต่อหน่วยไม่เกิน 1.2 ล้านบาท (รวมค่าที่ดิน) กรณีที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร และไม่เกิน 1 ล้านบาท (รวมค่าที่ดิน) ในกรณีตั้งในจังหวัดอื่นๆ เป็นต้น โดยโครงการต้องได้รับความเห็นชอบจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ ก่อนยื่นขอรับการส่งเสริมซึ่งกำหนดให้ยื่นคำขอภายในวันที่ 30 ธ.ค.2563

ข่าวที่เกี่ยวข้อง