วันนี้ (15 ก.พ.2563) นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ร่วมปราศรัยในกิจกรรม “จากโคราช สู่การปฏิรูปกองทัพ” ในหัวข้อ “ปฏิรูปกองทัพอย่างไร ไม่ให้เป็นแค่การแ(ส)ดง” โดยระบุว่า หากสังคมไทยยุติธรรมกว่านี้อาจไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ และต้องยอมรับว่าโครงสร้างกองทัพมีปัญหา และจากการเป็นกรรมาธิการงบประมาณช่วงเดือน พ.ย.2562 เคยตั้งคำถามกับกระทรวงกลาโหมถึงโครงสร้างกองทัพ 5 เรื่อง คือ ธุรกิจมวย ม้า เงินนอกงบฯ ผลประโยชน์จากคลื่นวิทยุโทรทัศน์ และปฏิบัติการสื่อสาร(ไอโอ) รวม 24 ข้อ แต่ไม่เคยได้รับคำตอบจนถึงวันนี้
ตัวอย่างกรณี จ.ส.อ. ผู้พัน นายหน้าคนสนิท แม่ยาย กรมสวัสดิการทหารบก และธุรกิจบ้านจัดสรร (แม่ยายเป็นเจ้าของ) ทำให้เห็นความเหลื่อมล้ำในกองทัพ โดย จ.สงอ.อยากได้บ้าน ถ้าจะใช้ช่องทางปกติกู้เป็นไปได้ยาก จึงใช้วิธีเข้าหานายหน้าคนสนิทของผู้พันเพื่อขอให้เซ็นอนุมัติกู้ และกำหนดรายละเอียดซื้อที่ดิน-สร้างบ้าน 1.5 ล้านบาท ขณะที่ต้นทุนอยูที่ 1.1 ล้านบาท
เมื่อเงื่อนไขโครงการเสร็จ ยื่นกู้กับกรมสวัสดิการฯ เพื่อพิจารณาและอนุมัติเงินให้ธุรกิจจัดสรร ข้อสังเกตคือส่วนต่างราคาตั๋ว 1.5 ล้านบาท ราคาสร้าง 1.1 ล้านบาท ทำให้เห็นส่วนต่างเรียกว่า “เงินทอน”
ที่ดินกลางไร่ข้าวโพด ทางเข้าลูกรัง มีที่ดิน 40 ตารางวา ราคาประเมิน 1.5 แสนบาท ราคาก่อสร้าง 5.5 แสนบาท ดังนั้นทรัพย์สินบ้านที่ดินมูลค่าเพียง 7 แสนบาท ตามข้อตกลงนี้บ้านจัดสรรได้กำไรแล้ว 4 แสนบาท แต่การตกลง ราคาค่าตั๋วและจะได้ส่วนต่าง 4 แสนบาท
“จ.ส.อ. เงินเดือน 2.5 หมื่นบาท เป็นเงินเดือนชั้นประทวนสูงสุด ข้ามไปสัญบัตรยากมาก เท่ากับการเติบโต จ.ส.อ. เหลือไม่เยอะ และต้องผ่อนบ้าน เดือนละ 7,000 บาท เพื่อคืนหนี้เป็นภาระมหาศาล ดังนั้นเงินทอนที่เป็นเงินสดจึงเป็นเรื่องสำคัญ และกรณีลักษระนี้เกิดขึ้นในค่ายทหารทั่วประเทศ”
กรณีดังกล่าว จ.ส.อ. มี 2 ช่องทาง คือ 1.ยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรม และ 2.ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวทวงเงิน แต่ไม่ว่าทางไหนสุดท้ายนำมาสู่ความแตกหักกับผู้บังคับบัญชา และกลายเป็นเป็นปัญหาความยุติธรรม เพราะผู้บังคับบัญชาอาจลงโทษ จ.ส.อ. ด้วยการซ่อมหรือจับขังเดี่ยวโดยไม่มีสิทธิเรียกร้องความเป็นธรรม
ไม่ว่าทางไหนสุดท้ายนำมาสู่ความแตกหักกับผู้บังคับบัญชาและกลายเป็นเป็นปัญหาความอยุติธรรม
“เราเรียนรู้บทเรียนสำคัญในช่วง 1 สัปดาห์นี้ คือ 1.ต่อให้คุณได้รับความอยุติธรรมมากแค่ไหน ความอยุติธรรมไม่ใช่ใบอนุญาตฆ่าผู้บริสุทธิ์ และ 2.เราเรียนรู้ว่าอาชญากรไม่ได้หล่นจากฟ้า แต่เกิดจากเนื้อนาดินของสังคม เป็นคำพูดจากอ.ชัยวัฒน์ สถาอนันท์ เมื่อเราเกิดมาเหมือนผ้าขาว แต่สังคมบ่มเพาะต่างกัน พ่อแม่ต่างกัน โรงเรียนต่างกัน ชนชั้นต่างกัน ทำให้พวกเรามีประสบการณ์ในชีวิตต่างกัน”
ไม่เชื่อ "ประยุทธ์-อภิรัชต์" สัญญาปฏิรูปกองทัพ
นายธนาธร กล่าวว่า ไม่เชื่อคำมั่นสัญญาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม และพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ด้วยเงื่อนไขหลายข้อ อาทิ 1.คสช.เคยตั้งแต่นายพลเป็น สนช. 81 คน ซึ่งเมื่อแสดงทรัพย์สินฯ มีทรัพย์สินเฉลี่ยนคนละ 78 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเงินเดือนข้าราชการที่ได้รับไม่มีทางได้เงินเท่านี้
สมมติทำงานตั้งแต่อายุ 20-40 ปี และเป็นนายพลตั้งแต่วันแรก โดยไม่ใช้เงินเลย จะมีเงินเดือนรวม 40 ปี คือ 48 ล้านบาท แต่การที่มีเงินมาถึงขนาดนี้ เท่ากับว่านายพลต้องทำธุกริจเพิ่มเติม นำมาสู่ความสงสัยว่าท่านนำสมบัติของประเทศไปใช้ผลประโยชน์หรือไม่ เช่น เงินกู้อย่างกรณีเงินทอน เป็นต้น
"สนามมวย สนามม้า ท่านนำไปใช้ประโยชน์หรือไม่ ทำไมท่านมีทรัพย์สินเฉลี่ย 78 ล้านบาทได้ และคนกลุ่มนี้ไล่ออกบ้านพักเกษียณเป็นกลุ่มเดียวกันที่ตั้งเป็น สนช. แล้วจะมั่นใจอย่างไรว่าต้องการปฏิรูปกองทัพจริง"
2.คนกลุ่มนี้มีทหารรับใช้ ข้าราชการมีทหารรับใช้ ความมั่นคงนายพลไม่เท่ากับความมั่นคงของชาติ เพราะความมั่นคงของชาติคือประชาชนและทหารชั้นผู้น้อยต่างหาก ส่วนตัวจึงไม่มั่นใจนายพลที่อ้างว่าจะปฏิรูป เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับความสะดวกสบายของท่าน
3.พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในตำแหน่งผู้นำ 6 ปี ส่วนพล.อ.อภิรัชต์ 1 ปีครึ่ง ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ มีอำนาจ มาตรา 44 ดาบประกาศิตสั่งใครทำอะไรก็ได้ แต่ไม่เคยใช้ มาตรา 44 ปฏิรูปกองทัพหรือใช้จัดระเบียบกองทัพ ส่วนตัวขอย้ำว่าไม่มั่นใจว่าการปฏิรูปกองทัพ
หน้าที่ประชาชนไม่ใช่ทำให้เป็นแค่การแสดง แค่การเฉียนเนื้อส่วนน้อย รักษาเนื้อส่วนใหญ่ไว้ ดังนั้นต้องเรียกร้องจุดที่การปฏิรูปกองทัพให้เป็นจริง
นายธนาธร กล่าวอีกว่า มี 3 ปัจจัยที่กองทัพควรปฏิรูป ได้แก่ 1.โครงสร้างกองทัพไม่เปิดโอกาสให้ตรวจสอบ กองทัพคือรัฐในรัฐ และเป็นอาณาจักรที่ปกครองตนเอง แม้แต่สภาฯ ก็ตรวจสอบไม่ได้ เพราะเขาเป็นรัฐอิสระ
2.มีข้อบกพร่องด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในค่ายทหาร หลายคนถูกซ่อมจนบาดเจ็บล้มตาย แต่พวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรม ส่วนตัวเชื่อว่าเราสร้างกองทัพที่เข้มแข็งได้โดยไม่ใช้การซ่อม เพราะการซ่อมและการสร้างวินัยเป็นคนคนละเรื่องกัน การซ่อมเป็นแค่ข้ออ้างให้ทหารชั้นผู้ใหญ่ปิดปากทหารที่เห็นต่างเท่านั้น
3.วัฒนธรรมพ้นผิดลอยนวล ทหารชั้นสูงทุจริตหรือสั่งซ่อมคนจนตายไม่เคยมีใครต้องรับผิดชอบ เขาบอกว่าเรื่องกองทัพ กองทัพแก้ไขกันเองได้ นี่คือสิ่งที่เขาบอกประชาชนเสมอ แต่ส่วนตัวเห็นว่าไม่ใช่ เพราะถ้ายังปล่อยให้มีวัฒนธรรมพ้นผิดลอยนวลก็ปฏิรูปกองทัพไม่ได้
เสนอมาตรการ "3 ป." ตรวจสอบกองทัพ
ดังนั้นจึงเสนอมาตรการ “3 ป.” คือ “3เปิด” 1.เปิดชื่อ เรียกร้องให้เปิดชื่อทหารกษียณที่ยังใช้สวัสดิการบ้านว่ามีกี่คน เปิดเผยรายชื่อคนในกองทัพที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ สนามกอร์ฟ-โรงแรม ฯลฯ ว่ามีจำนวนเท่าไหร่
2.เปิดงบฯ เรียกร้องให้เปิดงบฯ ที่ใช้ในการบริหารธุรกิจของกองทัพ เช่น สนามกอร์ฟ จัดมวย หรือปฏิบัติการอื่นๆ เพื่อความโปร่งใสตรวจสอบได้
3.เปิดทาง เพราะกองทัพปฏิรูปกองทัพเองไม่ได้ นี่คือการโยนโอกาสที่จะปฏิรูปที่ดีสุดทิ้งไป ดังนั้นต้องเปิดทางให้ประชาชน สื่อ นักการเมือง ฯลฯ เข้าไปร่วมตรวจสอบติดตามและเสนอแนะ
“ถ้าท่านต้องการปฏิรูปอย่างจริงใจ ท่านจะเจอแรงเสียดทานมหาศาล เพราะมีคนเสียบ้านพัก เสียทหารรับใช้ เสียธุรกิจมวยม้า ท่านจะสู้แรงเสียดทานอย่างไร ดังนั้นให้เราช่วยตรวจสอบ ช่วยกดดันนายพลที่จะเสียประโยชน์สิ”
นายธนาธร กล่าวว่า การเปิดทางของอนาคตใหม่จะไม่รอคำตอบ แต่สัปดาห์หน้าจะเสนอตั้ง กมธ. วิสามัญติดตามตรวจสอบเสนอแนะการปฏิรูปกองทัพ แต่ไม่มีเหตุผลที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลจะคัดค้าน เพราะในเมื่อ พล.อ.อภิรัชต์ และพล.อ.ประยุทธ์ ก็เห็นด้วยว่าควรมีการปฏิรูปกองทัพ
รับตรง "ร้องทุกข์" ผ่านเฟซบุ๊ก
ทั้งนี้ นายธนาธร กล่าวว่า จะเปิดช่องทางแข่งกับฮอตไลน์ของ พล.อ.อภิรัชต์ โดยจะใช้เฟซบุ๊กส่วนตัวรับเรื่องร้องเรียนของทหาร สู้กับความไม่เป็นธรรมในกองทัพ
“จากนั้นจะรวบรวมข้อมูลจากทุกคน เพื่อนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจทั้งเรื่องการทุจริต การเอารัดเอาเปรียบ เรื่องมวย ม้า สนามกอร์ฟ เงินกู้-เงินทอน หรือเรื่องไอโอ ผมจะเรียบเรียง ถ้าเรื่องไหนมีข้อมูลเพียงพอ ผมจะเพิ่มเรื่องและอภิปรายเป็นปากเป็นเสียงแทนท่าน”
สุดท้ายขอเรียกร้องให้ใช้โอกาสนี้ปฏิรูปกองทัพ เพราะเป็นโอกาสดีสุดที่จะปฏิรูปกองทัพให้ทันสมัย อย่าเสียของ อย่าทิ้งโอกาส เพราะไทยมีการปฏิรูปกองทัพครั้งสุดท้ายคือสมัย ร.5 และหลังสงครามครั้งที่ 2 แต่เราทิ้งโอกาสหลังในช่วง พฤษภาฯ 35 ที่คนระแวงกองทัพมีสูง ดังนั้นครั้งนี้อย่าเสียโอกาส
อีก 90 วัน ครบสัญญาปฏิรูปกองทัพของ ผบ.ทบ. ผมต้องการเจอทุกท่านอีกรอบ เพื่อทวงสัญญาจาก พล.อ.อภิรัชต์
สำหรับการถาม-ตอบในช่วงท้าย นายธนาธร กล่าวว่า ไม่สามารถสัญญาได้ว่าหากต้องปฏิรูปกองทัพต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ เพราะการแก้ไขต้องทำทั้งระบบ ทั้งแก้รัฐธรรมนูญ ปฏิรูปกองทัพ ยุติระบบราชการรวมศูนย์ ฯลฯ เนื่องจากการแก้ไขเหล่านี้เป็นการเดินทางที่ยาวนาน และสิ่งที่พูดนี้อาจใช้เวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี ไม่ใช่แก้ด้วยการเลือกตั้งครั้งเดียวหรือแก้ไขกฎหมายฉบับเดียว
นอกจากนี้ นายธนาธร ยังกล่าวอีกว่า การปฏิรูปกองทัพไม่ใช่โจทย์จากการรัฐประหาร หรือการล้มรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร หรือน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่การปฏิรูปกองทัพเป็นสิ่งจำเป็นของสังคมไทย