นักวิจัยระบุคน “ฆ่าตัวตาย” เพราะเดือดร้อน เท่ากับ “คนตาย COVID”

สังคม
25 เม.ย. 63
12:58
4,265
Logo Thai PBS
นักวิจัยระบุคน “ฆ่าตัวตาย” เพราะเดือดร้อน เท่ากับ “คนตาย COVID”
นักวิจัยชี้รัฐบาลเดินหน้าแก้ปัญหา COVID-19 โดยละเลยความเดือดร้อนของประชาชน ทำให้มีคนฆ่าตัวตายไปแล้วจำนวนมาก เพราะความเดือดร้อน แนะเปิดพื้นที่แบบควบคุม เพื่อให้คนทำมาหากิน เลิกใช้กฎหมายที่ไม่จำเป็น ฯลฯ ลดผลกระทบชีวิตประจำวัน

เมื่อวันที่ 24 เม.ย.ที่ผ่านมา โครงการวิจัยคนจนเมืองที่เปลี่ยนไปในสังคมเมืองที่กำลังเปลี่ยนแปลง ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) แถลงข่าว ผลการรวบรวมข้อมูลผู้เสียชีวิตและคนที่ “ฆ่าตัวตาย” จากไวรัส COVID-19

โดยมีนักวิจัย ประกอบด้วย ศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รศ.ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผศ.ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

รศ.ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยทักษิณ ผศ.ดร.ธนิต โตอดิเทพย์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ผศ.ดร.ธนพฤกษ์ ชามะรัตน์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

มาตรการเข้มงวด-รุนแรง กระทบปากท้อง

การแถลงผลการรวบรวมข้อมูลผู้เสียชีวิตและคนที่ “ฆ่าตัวตาย” จากไวรัส COVID-19 ระบุว่า หลังจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในสังคมไทย รัฐบาลได้เลือกใช้มาตรการอย่างเข้มงวดและรุนแรงในการควบคุมโรค เช่น นโยบายการปิดห้างสรรพสินค้า, การรณรงค์ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ”, การปิดเมือง หรือ lockdown ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายของประชาชนได้อย่างเสรี, การปิดสถานบันเทิง การปิดตลาดนัด ไม่อนุญาตให้นั่งในร้านขายอาหาร ฯลฯ

ในด้านหนึ่งดูราวกับว่า สังคมไทยจะสามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสได้ในระดับที่น่าพึงพอใจ ดังจะเห็นได้จากจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตด้วยสาเหตุของไวรัส COVID-19 มีจำนวนที่น้อยลงเป็นอย่างมาก ในช่วงเดือนเม.ย.2563 แน่นอนว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นสิ่งที่น่ายินดี สำหรับพวกเราทุกคนที่อยู่ร่วมกันในสังคมแห่งนี้

ข่าวการฆ่าตัวตายของประชาชนเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย และมีข้อมูลที่แสดงอย่างชัดเจนว่า เป็นผลกระทบสืบเนื่องมาจากมาตรการต่างๆ ของรัฐ ที่ได้ประกาศบังคับใช้ตั้งแต่ 22 มี.ค.2563 เป็นต้นมา

เนื่องจากมาตรการของรัฐ มุ่งเน้นการจัดการด้านสาธารณสุข แต่ละเลยการจัดเตรียมมาตรการบรรเทาผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ อย่างทันท่วงที

คนฆ่าตัวตายเพราะเดือดร้อนในการใช้ชีวิต

โครงการวิจัยฯ มีสมมติฐานว่า ผลกระทบต่อประชาชนจะเกิดติดตามมาอย่างชัดเจนและรุนแรงขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ จึงได้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 1 เม.ย. จนถึงวันที่ 21 เม.ย.2563 เพื่อแสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากมาตรการของรัฐ ในการรับมือกับไวรัส COVID-19 ด้วยการรวบรวมข้อมูลของสื่อมวลชน ที่มีการรายงานข่าวการฆ่าตัวตาย และมีข้อมูลรายละเอียดที่ยืนยัน หรือแสดงให้เห็นว่า การฆ่าตัวตายนั้น มีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับนโยบายหรือมาตรการของรัฐ เช่น เว็บไซต์มติชน, ไทยรัฐ, ผู้จัดการ, อัมรินทร์, one ช่อง 31 เป็นต้น

จากการรวบรวมข้อมูลพบว่า นับแต่วันที่ 1-21 เม.ย.มีการฆ่าตัวตายเกิดขึ้น รวม 38 ราย ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 28 คน อีก 10 คน ยังไม่เสียชีวิต หากพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างจำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัส COVID-19 และผู้ที่ฆ่าตัวตายอันเนื่องมาจากผลกระทบจากนโยบาย และมาตรการของรัฐในช่วงเวลาเดียวกัน (วันที่ 1-21 เม.ย.) พบว่า จำนวนของผู้เสียชีวิตและผู้ที่ฆ่าตัวตายอยู่ในจำนวนที่เท่ากัน คือ 38 ราย ดังกราฟเปรียบเทียบข้างล่างนี้

 

จากข้อมูลข้างต้น แสดงให้เห็นว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้ที่ฆ่าตัวตายมีจำนวนไม่แตกต่างกัน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกลับให้ความสำคัญ เฉพาะการเสียชีวิตจากไวรัส COVID-19 โดยตรง ดังที่มีการแถลงข่าวรายวัน, การประกาศใช้มาตรการอย่างเข้มงวด, การทุ่มเททรัพยากรอย่างมหาศาล แต่แทบไม่ให้ความสำคัญต่อผู้ที่ฆ่าตัวตายอันเนื่องมาจากนโยบายหรือมาตรการของรัฐ

แจกเงินเยียวยา 5,000 บาท ไร้ประสิทธิภาพ

การฆ่าตัวตายเป็นโศกนาฎกรรมที่สามารถป้องกันได้ หากรัฐบาลมีมาตรการและกลไกที่มีประสิทธิภาพ การฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้น จึงเป็นข้อบ่งชี้ถึงความล้มเหลวของการจัดการของรัฐอย่างรุนแรง จนกระทั่งมีคนกลุ่มหนึ่งต้องตัดสินใจฆ่าตนเอง เพื่อให้หลุดพ้นจากความเดือดร้อนที่เผชิญอยู่ หลายกรณีปรากฏอย่างชัดเจนว่า ความล่าช้าและความไร้ประสิทธิภาพในกรณีเงินเยียวยา 5,000 บาท คือสาเหตุแห่งการฆ่าตัวตาย

นอกจากนี้ หากพิจารณาในรายละเอียดของผู้ที่ทำการฆ่าตัวตายจะพบว่า
- เป็น เพศชาย จำนวน 27 ราย เพศหญิง จำนวน 11 ราย
- เป็น ลูกจ้าง/ผู้ประกอบการอิสระ 35 ราย เช่น พ่อค้าแม่ค้า, คนขับรถ, เด็กเสิร์ฟ, ช่างเชื่อม เป็นต้น
- เป็นผู้ประกอบการ/เจ้าของธุรกิจรายย่อย จำนวน 3 ราย
- อายุเฉลี่ย 40 ปี

คนได้รับผลกระทบคือลูกจ้าง แรงงานอิสระ

ข้อเท็จจริงข้างต้นตั้งข้อสังเกตได้ว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากนโยบายและมาตรการของรัฐคือ กลุ่มลูกจ้าง แรงงานอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มคนจนเมืองซึ่งต้องตกงานแต่ไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือเยียวยาจากทางภาครัฐอย่างทันท่วงที และผู้ประกอบการรายย่อยเป็นอีกส่วนที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ของผู้ที่ฆ่าตัวตายเป็นผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน และมีบทบาทสำคัญในการเป็นเสาหลัก หรือรับผิดชอบต่อค่าใช้จ่ายของครอบครัว ดังนั้น เมื่อต้องเผชิญกับการตกงานหรือไม่มีงานทำอย่างเฉียบพลันก็นำมาซึ่งแรงกดดันอันไพศาลทั้งต่อตนเองและครอบครัว

 แนะรัฐบาล 4 ข้อ เร่งแก้ปัญหา

จากข้อมูลที่ได้รวบรวมและนำเสนอเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายจากไวรัสโควิด-19 คณะนักวิจัยจึงมีข้อเสนอแนะต่อสถานการณ์เฉพาะหน้า ดังนี้

ประการแรก รัฐบาลควรตระหนักให้มากกว่านี้ว่า การฆ่าตัวตายของประชาชนเป็นผลจากมาตรการของรัฐบาลในการควบคุมโรคอย่างเข้มงวด แต่กลับไม่มีมาตรการในการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างทันท่วงทีและครอบคลุมประชาชนที่เดือดร้อนทุกกลุ่ม เราหวังว่า รัฐบาลจะมีมโนธรรมสำนึกและพยายามป้องกันไม่ให้เกิดเหตุฆ่าตัวตายขึ้นอีก อย่างน้อยต้องมีการจัดเตรียมสายด่วน ให้ประชาชนที่กำลังเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสได้แจ้งปัญหา และมีเจ้าหน้าที่เข้าไปช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ก่อนที่ประชาชนจะตัดสินใจฆ่าตัวตายไปมากกว่านี้ ข่าวประชาชนฆ่าตัวตายจากพิษโควิด-19 ไม่ควรจะเกิดขึ้นอีกนับแต่นี้เป็นต้นไป

ประการที่สอง รัฐบาลต้องปรับเปลี่ยนการให้เงินเยียวยาในโครงการคนไทยไม่ทิ้งกัน ให้กว้างขวางและรวดเร็ว บนฐานคิด “ช่วยเหลือให้ถ้วนหน้า” ไม่ใช่ “สงเคราะห์เพียงบางคน” การเรียกร้องให้ประชาชน “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” เพียงด้านเดียว แต่การช่วยเหลือไม่ทันท่วงที จะทำให้มีคนถูกทิ้งไว้ข้างหลังและข้างทางเป็นจำนวนอันไพศาล มาตรการเยียวยาจึงต้องชัดเจนและฉับไวมากขึ้น รวมทั้งการกระจายปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตประจำวันอย่างเป็นระบบ มิใช่รอให้เป็นการแจกจ่ายในหมู่ประชาชนแต่เพียงอย่างเดียว

เปิดพื้นที่ให้คนทำมาหากิน - ยกเลิกระเบียบที่ไม่จำเป็น

ประการที่สาม ในพื้นที่ที่ไม่ได้มีความเสี่ยงในระดับสูง จำเป็นต้องมีการ “เปิดพื้นที่แบบมีการจัดการ” เช่น ตลาด ร้านค้ารายย่อย เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนพอมีพื้นที่ทำมาหากินเลี้ยงชีวิตของตนเองและครอบครัวได้ ช่วงเวลาที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นว่าหากมีการจัดการที่มีระบบและด้วยความร่วมมือจากองค์กรต่างๆ ทั้งประชาชน องค์กรเอกชน และหน่วยงานรัฐ ก็จะสามารถมีการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยได้ไปพร้อมกัน

ประการที่สี่ รัฐบาลต้องยกเลิกการใช้กฎหมายและมาตรการต่างๆ ที่สร้างความทุกข์ยากให้กับประชาชนโดยไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความยุ่งยากในการแจกจ่ายอาหารของประชาชน, การข่มขู่ว่าจะมีการใช้อำนาจตาม พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ ฉุกเฉินต่อผู้ประสงค์จะแจกอาหาร, การจับกุมคนไร้บ้านด้วยข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน, การจับกุมและลงโทษบุคคลด้วยมาตรฐานที่แตกต่างกันในการกระทำเดียวกัน เป็นต้น

 

แน่นอนว่าการรับมือกับไวรัสโควิด-19 เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่ในขณะเดียวกันการใช้มาตรการเพื่อรับมือกับปัญหานี้ก็ควรต้องเป็นไปเพื่อให้ประชาชนทุกคนสามารถก้าวพ้นจากปัญหาไปได้ รัฐบาลไม่ควรใช้นโยบาย กฎหมายหรือมาตรการอย่างเข้มข้น จนสร้างภาระและความเดือดร้อนให้กับประชาชน ในระดับที่ไม่สามารถประกอบอาชีพ หารายได้เลี้ยงตัวเองและครอบครัว

การดำเนินนโยบายที่มุ่งเน้นแต่การควบคุมโรคโดยปราศจากความรู้และความเข้าใจถึงชีวิตของประชาชนคนธรรมดา อาจทำให้เราได้สังคมที่หลุดพ้นไปจากไวรัส COVID-19 หากแต่จะดาษดื่นไปด้วยซากศพของประชาชนในระหว่างทาง กรณีเช่นนี้ย่อมไม่อาจนับว่าสังคมไทยประสบความสำเร็จในการเผชิญหน้ากับการรับมือกับโรคร้ายครั้งนี้แต่อย่างใด

สามารถดาวน์โหลดได้ที่

https://drive.google.com/open?id=1y9YlYjG72dm7E7S0eH8EE-l0iFwugtIs

ข่าวที่เกี่ยวข้อง